วันอังคารที่ 27 ตุลาคม พ.ศ. 2552

อยากอายุยืนแนะเลือกเมียเรียนสูง


ผู้หญิงมีการศึกษามีแนวโน้มดูแลความเป็นอยู่ของครอบครัวอย่างดี ส่งผลต่ออายุขัยเฉลี่ยของสามีทางอ้อม
เอจนซี– นักวิจัยสวีเดนแนะผู้ชายที่อยากอายุยืน แต่งงานกับผู้หญิงมีการศึกษา ขณะที่ระดับชั้นทางสังคมของสามีที่อิงกับหน้าที่การงานมีอิทธิพลสำคัญต่อ ความอยู่รอดของภรรยามากกว่าสถานะการทำงานของตัวผู้หญิงเอง

โรเบิร์ต อิริกสัน และเจนนี ทอร์แซนเดอร์ นักวิจัยจากสถาบันเพื่อการวิจัยทางสังคมของสวีเดนในสต็อกโฮล์ม พบว่าระดับการศึกษาของภรรยามีอิทธิพลต่อความเสี่ยงในการเสียชีวิตของสามีใน ช่วงทศวรรษถัดไปมากกว่าระดับการศึกษาของผู้ชายเอง

“ปกติแล้วผู้หญิงจะเป็นคนรับผิดชอบเรื่องในบ้าน ดังนั้นการศึกษาของผู้หญิงจึงมีความสำคัญต่อรูปแบบการใช้ชีวิตในครอบครัว เช่น ในแง่ของพฤติกรรมการกิน มากกว่าระดับการศึกษาของผู้ชาย

“เราคิดว่าผู้หญิงที่มีการศึกษาสูงจะมีความรับผิดชอบสูงขึ้นในการหาข้อมูล เพื่อส่งเสริมสุขภาพซึ่งมีอยู่มากมายในสื่อ ข้อมูลบางอย่างก็สำคัญแต่บางอย่างก็เป็นแค่เรื่องเข้าใจผิด”

อิริกสันเสริมว่า เป็นที่รู้กันอยู่แล้วว่าการใช้ชีวิตคู่ช่วยลดความเสี่ยงในการเสียชีวิตก่อน วัย และผลการศึกษาล่าสุดขยายผลว่า การเลือกคู่ชีวิตอาจเป็นส่วนสำคัญของสมการนี้ เนื่องจากสถานะทางสังคมของคู่ครองส่งผลในหลายมิติ กล่าวคือการศึกษา รายได้ และอาชีพล้วนมีอิทธิพลไปกันคนละอย่าง

การศึกษาชิ้นนี้ที่ตีพิมพ์ในเจอร์นัล ออฟ เอพิเดมิโอโลจี้ แอนด์ คอมมิวนิตี้ เฮลท์ วิเคราะห์จากข้อมูลสำมะโนประชากรปี 1990 ครอบคลุมชาย-หญิงมีงานทำกว่า 1.5 ล้านคน อายุระหว่าง 30-59 ปี ที่อยู่กินกับคู่ครอง รวมถึงข้อมูลการเสียชีวิตระหว่างปี 1991-2003

สิ่งที่เป็นไปตามคาดดือ อัตราการเสียชีวิตของทั้งชาย-หญิงสูงขึ้นในกลุ่มผู้มีการศึกษาต่ำและผู้มี รายได้น้อย ขณะที่สถานะทางสังคมและอาชีพการงานระดับล่างเชื่อมโยงกับความเสี่ยงเสีย ชีวิตที่เพิ่มขึ้นเช่นเดียวกัน โดยผู้ชายที่เรียนจบแค่ชั้นประถมมีแนวโน้มเสียชีวิตระหว่างระยะติดตามผลสูง กว่าผู้ชายที่จบมหาวิทยาลัย 1.1 เท่า

ทว่า ระดับการศึกษาของคู่ครองมีอิทธิพลมากกว่าระดับการศึกษาของตัวผู้ชายเอง กล่าวคือผู้ชายที่อยู่กินกับผู้หญิงที่เรียนจบชั้นประถมมีแนวโน้มเสียชีวิต มากกว่าผู้ชายที่อยู่กินกับผู้หญิงที่เรียนจบปริญญาถึง 1.25 เท่า

ขณะเดียวกัน แม้ระดับชั้นด้านการงานของผู้หญิงมีผลต่อความเสี่ยงเสียชีวิตของตนเองน้อย มาก แต่ผู้หญิงที่แต่งงานกับแรงงานระดับล่างที่ไม่มีฝีมือมีความเสี่ยงเสียชีวิต มากกว่าผู้หญิงที่แต่งงานกับผู้ชายที่ทำงานนั่งโต๊ะ 1.25 เท่า

วันจันทร์ที่ 26 ตุลาคม พ.ศ. 2552

วิธีนิวโรบิค





เด็กดีดอทคอม :: พัฒนาสมองแบบชิวๆ สไตล์ "นิวโรบิค"; tags: เคล็ดลับ,ฝึกสมอง, Lawrence C. Katz, Ph.D.,ออกกำลัง,เพลง,แต่งตัว เด็กดีดอทคอม :: พัฒนาสมองแบบชิวๆ สไตล์ "นิวโรบิค"; tags: เคล็ดลับ,ฝึกสมอง, Lawrence C. Katz, Ph.D.,ออกกำลัง,เพลง,แต่งตัว

วิธีการพัฒนาสมองวิธีนี้คิดขึ้นโดย Lawrence C. Katz, Ph.D., เป็นวิธีที่เหมือนกับการออกกำลังกายสมอง หรือออกกำลังเส้นประสาทของเรา วิธีนิวโรบิคนี้จะทำที่ไหนเมื่อไหร่ก็ได้ค่ะ แล้วแต่ความเหมาะสม

- อย่างถ้าน้องๆ แปรงฟันด้วยมือขวา ก็ลองเปลี่ยนมาเป็นมือซ้าย
- เปลี่ยนเส้นทางกลับบ้านจากทางเดิมประจำ
- ใช้รีโมทมือซ้าย ก็เปลี่ยนมาเป็นมือขวา
- ฟังเพลงไปด้วย แอบดมดอกไม้ไปด้วยพร้อมกัน
- เปลี่ยนร้านที่เราซื้อของประจำบ้าง (ระวังอย่าให้แม่ค้าร้านประจำเห็นนะ เดี๋ยวเค้าจะงอน อิอิ)
- หลับตาแต่งตัว (คือปิดตาไม่มอง หรือไม่มองกระจกตอนแต่งตัว)
- เปิดกลอนประตูตอนหลับตา (ไม่ใช่ละเมอนะ)

โอ้...วิธีนิวโรบิคนี้ทำได้ง่าย ไม่ยากเหมือนชื่อเลยนะคะ ซึ่งวิธีที่ว่ามาทั้งหมด อย่างการสลับใช้มือซ้ายมือขวา ก็เหมือนการบริหารสมองซีกที่ไม่ค่อยได้ใช้ ให้ได้ใช้งานบ้างค่ะ แค่เปลี่ยนเหตุการณ์เล็กน้อย แต่ก็เป็นการทำให้สมองได้รับการกระตุ้น ทั้งสนุกและง่าย ดีกว่าปล่อยให้อยู่เฉยๆ เดี๋ยวจะฝ่อไปซะก่อน อิอิ


วันพฤหัสบดีที่ 22 ตุลาคม พ.ศ. 2552

Top 10 University in Asia 2009


1 University of HONG KONG Hong Kong
2 The CHINESE University of Hong Kong Hong Kong
3 University of TOKYO Japan
4 HONG KONG University of Science and Tech... Hong Kong
5 KYOTO University Japan
6 OSAKA University Japan
7 KAIST - Korea Advanced Institute of Scie... Korea, South
8 SEOUL National University Korea, South
9 TOKYO Institute of Technology Japan
10= National University of Singapore (NUS) Singapore
10= PEKING University China

ส่วนอันดับของมหาวิทยาลัยในเมืองไทยมีดังนี้

30= MAHIDOL University Thailand
35 CHULALONGKORN University Thailand
81 CHIANG MAI University Thailand
85 THAMMASAT University Thailand
108 KASETSART University Thailand
109 PRINCE OF SONGKLA University Thailand
113 KHON KAEN University Thailand
151= BURAPHA University Thailand

วันพุธที่ 21 ตุลาคม พ.ศ. 2552

เรื่องเล่าหนุกๆ



เรื่องเล่าหนุกๆ

นายกรัฐมนตรีของญี่ปุ่นพอเข้ามารับตำแหน่งใหม่ ก็มีประเพณีว่า จะต้องไปอเมริกา ไปสวัสดี แนะนําตัวเองกับประธานาธิบดีอเมริกา แล้วก็กล่าวปราศรัยอะไรเล็กๆ น้อยๆ เป็นภาษาอังกฤษ
เรื่องมีอยู่ว่า มีนายกรัฐมนตรีญี่ปุ่นคนหนึ่ง พอได้เป็นนายกคนใหม่ของประเทศญี่ปุ่น เขาก็เหมือนกับทุกคน เดินทางไปอเมริกาแล้วก็ กล่าวปราศรัยด้วยภาษาอังกฤษ ช่วงที่เขากำลังปราศรัยอยู่นั้น

นักข่าวอเมริกา A: ภาษาญี่ปุ่นฟังดูคล้ายภาษาอังกฤษจัง
นักข่าวอเมริกา B: อืม ใกล้เคียงมาก
(ทั้งสองคนหารู้ไม่ว่านายกญี่ปุ่นกําลังพูดภาษาอังกฤษอยู่)

อีกเรื่อง

มีการประชุมที่โอกินาว่า นายกรัฐมนตรีญี่ปุ่นซึ่งพูดภาษาอังกฤษไม่ค่อยได้

นายกญี่ปุ่น: How are you?
ประธานาธิบดีอเมริกา: Fine,thank you, and you?
นายกญี่ปุ่น: Me, too.

วันต่อมา นายกญี่ปุ่นเดินเข้าไปทักทายประธานาธิบดีอเมริกาตามสคริปเดิม แต่ดันพูดผิด

นายกญี่ปุ่น: Who are you?

ประธานาธิบดีอเมริกาคิดว่าเป็นมุขตลกของนายกญี่ปุ่นก็เลยตอบไปว่า

ประธานาธิบดีอเมริกา: I am Hilary’s husband.
นายกญี่ปุ่น: Me,too.
ประธานาธิบดีอเมริกา: ???

คนญี่ปุ่นเขาเลี้ยงลูกกันอย่างไร


ประเทศมหัศจรรย์

รู้สึก แปลกใจและทึ่งเหมือนผมไหมครับ... เวลาเราพูดถึงประเทศมหัศจรรย์ประเทศหนึ่งซึ่งเป็นประเทศที่แพ้สงครามโลก ครั้งที่ 2 อย่างยับเยิน โดนระเบิดปรมาณูถึง 2 ลูก บ้านเมืองและเศรษฐกิจพังพินาศ แต่ปัจจุบันประเทศนี้กลายเป็นประเทศพัฒนาแล้ว และเป็นมหาอำนาจทางเศรษฐกิจที่มีรายได้ประชาชาติ (GDP) สูงเป็นอันดับ 2 ของโลก เป็นรองแต่เพียงประเทศสหรัฐอเมริกาเท่านั้น ทราบแล้วใช่ไหมครับว่าประเทศนั้นคือประเทศญี่ปุ่นนั่นเอง ผมเคยสนใจเก็บข้อมูลเรื่องนี้มานานแล้วครับว่าคนญี่ปุ่นนั้นเขาเลี้ยงลูก อย่างไร หรือเขามีลักษณะพิเศษต่างจากชนชาติอื่นอย่างไร ทำไมใช้เวลาเพียง 20-30 ปี ฟื้นฟูและพัฒนาประเทศได้รวดเร็วขนาดนี้ ทุกวันนี้เราก็ขับรถญี่ปุ่น เครึ่องใช้ไฟฟ้า อุปกรณ์อีเลคทรอนิค คอมพิวเตอร์มือถือ กล้องดิจิตอลก็ของญี่ปุ่น ร้านอาหารญี่ปุ่นก็ขายดี ร้านขนมญี่ปุ่นก็ขายดี เด็กๆ ของเราก็ติดภาพยนตร์หรือการ์ตูนญี่ปุ่นกันงอมแงม ญี่ปุ่นมีอะไรดีเกี่ยวข้องกับเชื้อชาติ วัฒนธรรม ความเชื่อ การเลี้ยงดู และระเบียบวินัยหรือไม่ เป็นเรื่องที่น่าสนใจ เหตุผลที่ผมต้องมานำเรื่องนี้มาพูดคุยก็เพราะมีแรงจูงใจครับ คือเมื่อไม่นานมานี้ผมได้มีโอกาสดูแลเด็กญี่ปุ่นคนหนึ่งที่โรงพยาบาลเอกชน เด็กคนนี้เป็นออทิสติกครับ ค่อนข้างซนอยู่ไม่นิ่ง เขาเดินเข้าไปที่อ่างน้ำล้างมือของห้องตรวจโรค ปิดฝาระบายน้ำแล้วเปิดน้ำเล่นจนเกือบล้น พอดีคุณแม่ชาวญี่ปุ่นเหลือบไปเห็นเข้า เธอมีท่าทีตกใจและเกรงใจผมมากรีบพูดขอโทษ \"sorry ...sorry ..sorry" (นึกภาพท่าทาง เวลาเราเห็นคนญี่ปุ่นขอโทษในโทรทัศน์ประกอบไปด้วย) ลักษณะที่แสดงออกบ่งบอกความเกรงใจเดือดร้อนเป็นอย่างยิ่งเกินกว่าชนชาติ (ดูเหมือนโอเวอร์ก็ว่าได้) แต่เขาไม่ได้แกล้งทำครับ เพราะตรงกับที่พยาบาลและเจ้าหน้าที่ที่โรงพยาบาลบอกเล่าว่าคนไข้ชาวญี่ปุ่น ส่วนใหญ่น่ารักคือจะมีระเบียบวินัยดีมาก เวลานัดหมายก็มักมาตรงเวลา ถ้าจะผิดนัดหรือติดธุระก็จะโทรศัพท์มาเลื่อนล่วงหน้าพร้อมกับขอโทษ (ปกติเจ้าหน้าที่ต้องเป็นฝ่ายโทรศัพท์ไปตาม)


วินัยของคนในชาติ

วินัย ของคนในชาติสะท้อนออกมาผ่านวินัยจราจร ใครเคยไปประเทศญี่ปุ่นคงเห็นความมีวินัยของคนญี่ปุ่นที่เข้าแถวรอขึ้นรถไฟ ใต้ดินตรงเส้น ถ้าเราไปออกนอกแถวที่เข้าคิว (เป็นเส้นด้านข้างไม่ใช่ล้ำเข้าเส้นอันตรายหน้าแถวนะครับ) เราจะถูกเจ้าหน้าที่เข้ามาเตือนให้อยู่ตรงแถวทันที ทุกคนเข้าแถวตรงเป๊ะ วินัยจราจรบนถนนดี เยื่ยม ไฟเขียวไฟแดงและทางม้าลายของเขาศักดิ์สิทธิมาก (เช่นเดียวกับประเทศสิงคโปร์) ถ้าใครเคยไป เวลาจะข้ามทางม้าลาย สี่แยกจะเห็นว่าแค่ไฟ เหลืองเท่านั้น ทุกอย่างสงบนิ่ง คือรถจอดสนิท ต่างจากบ้านเราข้ามทางม้าลาย แท้ๆ รถบางคันวิ่งมาไม่ยั้งแถมยังเปิดไฟสูงบีบแตรไล่ (ถ้าจะข้ามถนนก็ต้องวัดดวงวัดใจคนขับกันหน่อย) หรือไฟเหลืองก็ หมายถึงให้เหยียบคันเร่งรีบไปเพื่อให้พ้นไฟแดง ใครหยุดที่ไฟเหลืองอาจถูกคนที่นั่งข้างๆ ต่อว่าว่า \"หยุดทำไม จะบ้าหรือเปล่า ทำไมไม่รีบไป" ดังนั้นวินัยของคนในชาติเป็นเรื่องดีแน่ไม่ต้องสงสัย เพราะทำให้คนเราอยู่ร่วมกันในสังคมได้อย่างมีความสงบสุข นอกจากนี้เราคง เคยได้ยินกิตติศัพท์ของคนญี่ปุ่นในเรื่องการเอาจริงเอาจัง ความรับผิดชอบ และความจงรักภักดีต่อองค์กรและประเทศชาติสูงมาก ซึ่งมีส่วนทำให้พัฒนาประเทศได้รวดเร็ว

ลักษณะพิเศษของครอบครัวญี่ปุ่น

เรา คงเคยได้ยินกันมาแล้วว่าครอบครัวญี่ปุ่นนั้นสามีเป็นใหญ่คล้ายสังคมจีน ผู้ชายนั้นมักมีภาระงานมาก และคนญี่ปุ่นก็เป็นคนเอาจริงเอาจังกับงานมาก หลังเลิกงานแล้วก็จะต้องออกไปสังสรรกับลูกค้าจนดึกดื่น ดังนั้น ผู้หญิงจึงมีหน้าที่หลักในการดูแลบ้าน สามีและลูก เป็นเรื่องแปลกที่ผู้หญิงญี่ปุ่นส่วนใหญ่เองก็ยอมรับสภาพนี้ด้วยความเต็มใจ เคยดูสารคดี เป็นเรื่องของแม่บ้านชาว ญี่ปุ่น ซึ่งมี การศึกษาสูงเป็นเภสัชกร เธอจะทำงานเพียงแค่ช่วงเวลาบ่าย 3-4 ชั่วโมงเท่านั้น ที่เหลือเธอเอาเวลามาทำ หน้าที่เป็นแม่บ้านหมดอย่างเต็มใจ และตั้งอกตั้งใจ

พัดและความในใจของหญิงสาวอังกฤษ


ทศวรรษ 1870

กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว พัดเคยเป็นแอสคาซอรี่ยอดฮิตประจำตัวตะละนางชาวอังกฤษ สำหรับในหมู่ชนชั้นกลางไปถึงชนชั้นสูง ทุกเธอจะมีมันติดตัวอยู่เสมอ

แต่อย่างที่รู้...ผู้หญิงสมัยก่อนพูดอะไรในบางเรื่องกับผู้ชายไม่ได้ หรือไม่ก็...ซึนมาตั้งแต่รุ่นทวด (-____-"") ไม่พูดด้วยปาก ก็จะขอพูดด้วยพัด

นี่คือพจนานุกรมภาษาพัดที่ชายหนุ่มในยุคนั้นน่าจะรู้ไว้ เวลาไปจีบสาวเจ้า

พัดเร็วๆ
-- เดี๊ยนสวยเลือกได้เค่อะ อยู่คนเดียวก็ได้...ไม่ง้อผู้ชาย เชอะ!

พัดช้าๆ
-- ซอรี่ที่รัก ฉันมีสามีแล้วค่ะ

พัดด้วยมือขวาบังหน้า
-- Come on ... Baby boy!

พัดด้วยมือซ้ายบังหน้า
-- ยุ่ง!

เปิดพัดและปิดพัด
-- Kiss me,baby.

เปิดพัดกว้าง
-- เป็นเพื่อนดีกว่านะตัวเอง

ปิดพัด
-- แหว่ะ! เหม็นขี้หน้าอย่างแร๊งงงง...

แกว่งพัดไปมา
-- ขอไปดูบ้านคุณก่อนได้ไหม (เฮ้ย!)

หมุนพัดด้วยมือขวา
-- เค้าแอบมองตัวเองอยู่น้า...

ลากพัดๆผ่านใบหน้า
-- I Love You

ใช้พัดแตะที่แก้มขวา
-- โอเคนะค่ะ

ใช้พัดแตะหลังศีรษะ
-- อย่าลืมเค้านะ

ใช้พัดแตะหูซ้าย
-- ไสหัวไปชะ!


อ่านขำๆแล้วกันนะ!!

ถนนสายที่สั้น ที่สุดในโลก

ถนน Ebenezer Place ในเมือง Wick แห่งดินแดนวิสกี้ ได้ชื่อว่า เป็นถนนสายที่สั้นที่สุดในโลก เนื่องจากมีความยาวเพียงแค่ 6 ฟุต 9 นิ้ว หรือประมาณ 2.06 เมตร



ทำ ให้กินเนสท์บุค ได้บันทึกไว้ว่า Ebenezer Place ถนนที่อยู่ในเมือง Caithness เป็นถนนสายที่สั้น ที่สุดในโลก (ทำลายสถิติถนน Elgin Street ในเมืองแลนคาเชียร์ ประเทศอังกฤษ ที่มีความยาว 17 ฟุต ) และมันมีที่อยู่เพียง 1 ที่เท่านั้นคือ บ้านเลขที่ 1 Bistro ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของโรงแรม Mackays ในย่านนั้น

Murray Lamont เจ้าของโรงแรม Mackays ได้กล่าวอย่างภาคภูมิใจว่า “Everyone is delighted. ทุกคนต่างก็ดีใจ ถนนเส้นนี้สร้างขึ้นเมื่อปีค.ศ. 1883 ทุกคนที่นี่ก็รู้ในเรื่องนี้ แต่ผมตัดสินใจที่จะให้มันอยู่ในแผนที่จริงๆ จังๆ เสียที และมันก็กลายเป็นจุดสนใจของทุกคน”

วันจันทร์ที่ 19 ตุลาคม พ.ศ. 2552

ปล่อยผมช่วยคลายเครียดได้

ใครที่ชอบมัดผมเป็นประจำ ทราบหรือไม่ว่าอาจเป็นสาเหตุหนึ่งทำให้เกิดความเครียดได้ วันนี้เกร็ดความรู้มีเรื่องนี้มาบอกกัน...

มัดผม รัดผมการที่ทำผมบ่อย ๆ นั้นเป็นการทำร้ายผมโดยตรง ซึ่ง บางครั้งสารเคมีเหล่านี้จะสะสมในร่างกายและอาจเกิดรุมเร้าตามมาที่หลัง แม้กระทั่งการที่มัดหรือผูกผมก็เช่นกัน ผมที่ถูกมัดจนตึง มักจะทำให้เรารู้สึกมึนหัว อึดอัด ปวดตึงบริเวณต้นคอและท้ายทอยเป็นประจำ นี่คือสิ่งที่บ่งบอกถึงความเครียดภายใต้หนังศีรษะนั่นเอง โดยที่ไม่รู้ว่ากำลังทำร้ายตัวเองอยู่

ผู้หญิงที่ชอบมัดผม หรือคาดผมจนตึงแน่นเป็นประจำ เป็น เพราะชอบไว้ผมยาวแต่ไม่ชอบปล่อยผม ทำงานที่ไม่สะดวกต้องการความกระชับ ทำงานกลางแจ้งหรืออากาศถ่ายเทไม่สะดวก จึงมีความจำเป็นต้องมัดผม อาจจะเป็นสาเหตุหนึ่งที่นำไปสู่อาการปวดหัวเรื้อรัง และทำให้เกิดโรคเครียดตามมาอย่างคาดไม่ถึง

เนื่องจากการรัดผม คาดผมจนตึงแน่นเป็นประจำ ทำให้หนังศีรษะถูกเหนี่ยวรั้งมากขึ้น นอก จากจะทำให้หน้าผากกว้างมากขึ้น ยังทำให้เกิดปัญหาผมร่วงได้ง่าย เพราะรากผมถูกทำลายจากแรงดึงแล้ว ยังทำให้เลือดไหลเวียนไปเลี้ยงบริเวณศีรษะไม่สะดวก นำไปสู่อาการปวดหัวเรื้อรังและโรคเครียดได้อย่างง่ายดาย

เพราะ ปกติผู้หญิงทำงานต้องแบกรับความเครียดอย่างมากอยู่แล้วในแต่ละวัน หากหันมาปล่อยผมให้สบาย ๆ บ้าง เลือดจะได้ไหลไปเลี้ยงสมองได้ง่ายขึ้น ช่วยลดความเครียดและอาการปวดตึง บริเวณศีรษะและท้ายทอย เนื่องจากความเครียดได้ด้วย

รู้อย่างนี้แล้ว ถ้าอยากหายเครียด ก็ลองหันมาปล่อยผมกันดูได้.

* 17 ... คำบอกเลิกสุดฮิต !!! บางคำชั้นก็ไม่กล้าเอ่ยอะ 55 . *





1."เราต่างกันเกินไป" (แหมประโยคนี้ทำให้ต้องถามกลับว่า แล้วเธอมาจากดาวไหนล่ะ?)

2. "เราไปด้วยกันไม่ได้หรอก" (จะไปไหนเหรอ? ถึงไปด้วยกันไม่ได้)

3. "ยังมีคนอื่นที่ดีกว่าฉันนะ" (แน่น้อนนน!! รู้อยู่แล้ว )

4. "เธอไม่ใช่" (ไม่ใช่อารายเหรอ?)

5. "เธอไม่ใช่คนนั้น" (อืม...แล้วคนไหนล่ะ?)

6. "ขอบคุณสำหรับทุกสิ่งทุกอย่างนะ" (ดี ไม่เปลือง)

7. "ฉันอยากมีพี่ชาย(น้องสาว)" (ผมไม่อยากได้น้องสาวนี่,ฉันไม่ได้อยากมีพี่ชาย)

8."ฉันชอบเธอแบบพี่ชาย(น้องสาว) มากกว่า" (งั้นผมคงเป็นพี่ชายคนที่ 8
ของเธอ,ฉันคงเป็นน้องสาวคนที่ 9 ของเธอ)

9."มันสายไปแล้วล่ะ" (จริงๆ น่าจะจบกันตั้งนานแล้วนะ ฮ่าๆ)

10."เราจบกันแค่นี้นะ" (อ้าว ! แล้วจะให้จบแค่ไหนอ่ะ)

11."เธอเป็นคนดีเกินไป" (ชอบคนเลวใช่ม่ะ...ด้ายยยย)

12."เธอก็น่าจะรู้" (ฉันไม่ได้มีพลังจิตอ่านใจคนได้นี่)

13."เธอไม่เข้าใจฉัน" (แล้วจะให้เข้าไปทางไหนล่ะ)

14."เราเป็นแค่เพื่อนกันดีกว่านะ" (เพื่อนมีเยอะแล้ว...เพื่อนมีแยะแล้ว)

15."เธอตัดใจซะเถอะ" (ตัดก็ตาย เด้)

16."เราเหมือนเส้นขนานกันนะ" (เส้นขนานอย่างน้อยก็ไปด้วยกันได้)

17."นึกถึงความจริงบ้างสิ" (แล้วนี้ฉันฝันอยู่หรือไง)






เพื่อน ๆ ล๊ะ เคยบอกเลิกแบบไหนกันบ้าง ???????

ตัวย่อภาษาอังกฤษน่ารู้ ดู ดู๊ ดู...


เด็กดีดอทคอม :: ตัวย่อภาษาอังกฤษน่ารู้ ดู ดู๊ ดู...; tags: การศึกษา,เคล็ดลับ,ภาษา,อังกฤษ,ย่อ,Thanks, kisses,Oh my god ,You


A


ASAP = As soon as possible = เร็วสุดเท่าที่เร็วได้
ATM = At the moment = ในตอนนี้ (ไม่ใช่ตู้ ATM นะ แต่ย่อเหมือนกัน)

B

BC = Because = เพราะว่า
BG = Big grin = (ยิ้มอยู่)
BOTOH = But on the other hand = แต่ในทางกลับกัน
BTDT = Bee n there, done that = ไปมาแล้วทำเรียบร้อยแล้ว
BTW = By the way = อย่างไรก็ตาม

C

COZ = Because = เพราะว่า
CU = See you = แล้วเจอกัน
CUL or CUL8R = See you later = แล้วเจอกัน

E

EZ = Easy = ง่าย

F

FAQ = Frequently asked questions = คำถามที่ถามบ่อย
FYI = For your information = แจ้งเพื่อรับทราบ

G

GJ = Good job = ทำได้ดีมาก!
GL = Good luck = โชคดีนะ
GRT = Great = เยี่ยม!
GW = Good work = ทำได้ดีมาก

H

HAND = Have a nice day = โชคดีนะ

I

IC = I see = เข้าใจล่ะ

IMO = In my opinion ฉันคิดว่า...
IMPOV = In my point of view = ฉันคิดว่า....
IOW = In other words = ถ้าจะพูดอีกอย่างก็..
IRL = In real life = ในชีวิตจริง

J

JIC = Just in case = เผื่อไว้
JTLYK = Just to let you know = แค่บอกให้รู้ไว้

K

KIS = Keep it simple = เอาง่ายๆ
KIT = Keep in touch = ติดต่อกันอีกนะ

L

LOL= Laughing out loud = หัวเราะ 555+

N

NBD = No big deal = ไม่มีปัญหา เรื่องเล็กน้อย
NP = No problem = ไม่มีปัญหา
NVM = Never mind = ไม่เป็นไร

O

OMG = Oh my god = โอ้ พระเจ้า

P

PCM = Please call me = โทรมาหาที
PLS = Please = ได้โปรด
PLZ = Please = ได้โปรด

Q

Q = Question = คำถาม

S

SIT = Stay in touch = แล้วติดต่อกันใหม่
SOZ, SRY = Sorry = ขอโทษที
SYS = See you soon = แล้วพบกันใหม่

T

THX = Thanks = ขอบใจจ้า
TIA = Thanks in advance = ขอบคุณล่วงหน้า
TY = Thank you = ขอบคุณ

U

U = You = คุณ

W


WB = Welcome back = ขอต้อนรับกลับมา
WFM = Works for me = สำหรับฉันแล้วได้ผลนะ

X

XOXO = Hugs and kisses = รักนะจุ๊บๆ

Y

Y = Why = ทำไมหละ
YW = You are welcome ด้วยความยินดี

รู้ไหมว่า ... วัสดุอะไรลื่นที่สุดในโลก?

วัสดุชนิดนั้นคือ “เทฟลอน” (Teflon) ที่ทุกคนคุ้นเคยกันดีที่ในครัว

เทฟลอนเป็นพลาสติกชนิดหนึ่งที่ทนทานต่อความร้อนสูง
การค้นพบเทฟลอนนั้นก็แสนจะเป็นเรื่องบังเอิญ โดยในปี 1938 นักวิทยาศาสตร์นาม รอน พลันเค็ต (Roy Plunkett) กำลังคิดค้นก๊าซที่ใช้ดูดความร้อนในเครื่องปรับอากาศและตู้เย็น โดยได้ผสมสารต่างๆ บรรจุลงขวดเพื่อให้เกิดก๊าซตัวใหม่

ทว่าเมื่อเปิดขวดออกมา แทนที่จะได้ก๊าซใหม่ กลับพบของเหลวลักษณะคล้ายแป้งสีขาวเป็นมันแวว อีกทั้งเป็นสารที่มีความหล่อลื่นดีเยี่ยม มีจุดหลอมเหลวสูงมาก

สารดังกล่าวก็คือ “โพลีเตตระฟลูโอโรเอทีลีน” (Poly(tetrafluoroethylene))

กางเกงเคลือบเทฟลอนสำหรับทหาร หนึ่งในการประยุกต์ใช้ที่ไกลกว่าห้องครัว
หลังจากจดสิทธิบัตรการค้นพบสารแล้ว คำว่า “เทฟลอน” ก็ถูกตั้งขึ้นเป็นชื่อเรียกสารดังกล่าว พร้อมทั้งจดจดเป็นเครื่องหมายการค้าในปี 1945

แรกเริ่มพลันเค็ตได้นำมาประกอบการผลิตชิ้นส่วนเครื่องจักรที่มีความลื่นสูง โดยไม่ต้องใช้น้ำมันหล่อลื่น

จากนั้นบริษัทดูปองได้ซื้อสิทธิ์เทฟลอนมาผลิตเป็นหม้อ กระทะ และอุปกรณ์ในครัวจัดจำหน่าย เอาใจแม่บ้านเพื่อช่วยทำให้อาหารไม่ติดก้นกระทะ และทนทานอุณหภูมิได้ถึง 300 องศาเซสเซียส อีกทั้งทนทานต่อการกัดกร่อน

ปัจจุบันเริ่มมีการนำเทฟลอนไปพัฒนาเป็นส่งอำนวยความสะดวกมากมาย

ทว่าคงไม่มีใครคิดจะนำ "เทฟลอน" ไปปูเป็นทางเดิน แน่นอน

วันศุกร์ที่ 16 ตุลาคม พ.ศ. 2552

(ฮาๆ)มาลองดูนะ! ว่าชาติที่แล้ว...เราตายเพราะอะไร ?



มาลองดูนะ! ว่าชาติที่แล้ว...เราตายเพราะอะไร ?

1. คุณเกิดวันที่เท่าไหร่?

1.โดนเพื่อนข้างบ้าน
2.โดนคนบ้า
3.ยายแก่
4.โดนขอทาน
5.โดนหมาบ้า
6.โดนอาแปะ
7.โดนพี่ชาย
8.โดนน้องชาย
9.โดนพี่สาว
10.โดนน้องสาว
11.โดนคนโรคจิต
12.โดนอาม่า
13.โดนเด็กเสิร์ฟ
14.โดนภรรยา
15.โดนคนต่างชาติ
16.โดนเด็กวัด
17.โดนเอเลี่ยน
18.โดนมนุษย์ต่างดาว
19.โดนคนต่างด้าว
20.โดนคนขายยาบ้า
21.โดนแม่บ้าน
22.โดนพ่อบ้าน
23.โดนนักธุรกิจ
24.โดนกระเป๋ารถเมล์
25.โดนคนขับแท๊กซี่
26.โดนคนในบอร์ดประมูล
27.โดนเกย์
28.โดนคนทำอาหาร
29.โดนเด็กทารก
30.โดนคนขายไก่
31.โดนนักกายกรรม


2. คุณเกิดเดือนที่เท่าไหร่?


ตัวอย่าง มกราคม 1 กุมภาพันธ์ 2 มีนาคม 3

1.ยิงหัวตาย
2.รุมโทรมตาย
3.วางกล้วยไว้ลื่นหกล้มหัวทิ่มตาย

4.จิ้มตูดตาย
5.ดินสอจิ้มตาตาย
6.ขับรถทับตาย
7.พาวเวอร์สแลมตาย
8.ใช้หมัดปืนกลยางยืดยิงตาย
9.สะกัดขาหัวทิ่มตาย
10.ผลักตกบันไดตาย
11.วางยาในมายมิ้นท์ให้กินตาย
12.กระทืบคาย


3. เกิดวันอะไร?


จันทร์ : เพราะไปแย่งอมยิ้มเขา
อังคาร: เพราะไปล้อเขาเรื่องหน้าตา
พุธ : เพราะมองหน้ากวน teen ใส่เขา
พฤหัส: เพราะเดินเหยียบเท้าเขา
ศุกร์ : เพราะไปทำหน้าหื่นใส่เขา
เสาร์ : เพราะไปชนเขาจนล๊อตเตอรี่รางวัลที่ 1 ตกท่อ
อาทิตย์: เพราะตบหัวเขา


แล้วเอาคำตอบทั้ง 3 ข้อ ของคุณมาเรียงต่อกันดูนะค่ะ


*** คิคิ เป็นคำทำนายเล่นๆ ขำๆ นะจ้า อย่าซีเรียสล่ะ!

กลอนรักแท้ แบบญี่ปุ่น



Make a wish...make a wish.

I will love you last memory...and i will have her forever.

I will love you...last forever memory.

อธิฐาน...เพียงคำอธิฐานหนึ่งเดียว

ฉันจะรักเธอในความทรงจำ...และจะมีเธอตลอดไป

ฉันจะรักเธอ...ในความทรงจพชั่วนิรันดร์


only have a hope.
noly have faith in affectior.
And only beliere in feeling about each other
As a result be able to embroil at even don't have way turn back.

เพียงแค่มีกำลังใจ
เพียงแค่มีศรัทธาในความรัก
เพียงแค่เชื่อมั่นในความรู้สึกที่มีต่อกัน
ก็จะสามารถเชื่อมความรักที่แม้ไม่มีหนทางให้กลับคืนมาได้...


her jealous my character.

เธอยัยตัวร้ายของฉัน

I Mr.culprit name is owner of her heart.

ฉันชื่อนายตัวดีเป็นเจ้าของหัวใจเธอ

I will shake hands her while , she lonelies .

ฉันจะจับมือเธอเวลาที่เธอเหงา

I will show off the chest shoulders tears and her sadness .

ฉันจะเอาหน้าอกแบกรับน้ำตาและความเศร้าของเธอ

her painful will flow to my mind.

ความเจ็บปวดของเธอจะไหลสู่ใจฉัน

her body is will in my eyes .

ร่างกายเธอจะอยู่ในแววตาของฉัน

my body will stay at her heart , .

ร่างกายของฉันจะอยู่ในใจของเธอ

7 สิ่งมหัศจรรย์ในโรงเรียนประถมญี่ปุ่น..หุหุ

1.สนามรบคือสนามโรงเรียน! ยามกลางวันมันก็เป็นสนามหญ้าหน้าโรงเรียนกว้างๆสำหรับเข้าแถวเคารพธงชาติ แต่ตกดึกประมาณเที่ยงคืนมักจะมีคนพบเหล่ากองทัพซามูไรกำลังพุ่งรบกันอยู่ อย่างน่ากลัว บ้างหัวขาดแขนขาดเนื้อตัวเต็มไปด้วนเลือด แต่ก็ไม่รู้วันแพ้ชนะกันสักที ว่ากันว่าที่นี่สมัยก่อนเป็นสนามรบเก่าซึ่งยังไม่มีการสวดส่งวิญญาณ...

2.วิญญาณฮานาโกะในห้องน้ำ มักมีเรื่องทำนองนี้เล่าอยู่บ่อยๆว่า ถ้าไปเข้าห้องน้ำที่อาคารเรียนเก่าหลังโรงเรียนตอน 5 โมงเย็นเป็นต้นไป มักจะได้ยินเสียงเด็กผู้หญิงร้องไห้ทรมานว่า เปิดไม่ออก เปิดไม่ออก... ดังมาจากห้องน้ำสุดท้านทางขวามือ และถ้าผู้ใดบังเอิญสงสัยไปเปิดประตูให้ก็จะพบกับฮานาโกะจังสมใจหมาย!!!

3.รอยคราบที่ดูคล้ายหน้าคน(อาถรรพ์ยามิโกะซัง) เรื่องนี้คล้ายๆกับฮานาโกะที่เล่ามาแต่น่ากลัวกว่ามาก ว่ากันว่าถ้าใครไปเข้าห้องน้ำหญิงที่อาคารเรียนเก่าชั้นบนสุด จะเห็นรอยคราบที่ดูคล้ายใบหน้าคนอญุ่ในโถส้วมห้องน้ำที่ 2 แม้ภารโรงจะลบทำความสะอาดไปกี่ครั้งแต่มันก็กลับเปลื้อนขึ้นมาใหม่อย่างหา สาเหตุไม่ได้ ว่ากันว่าถ้าไปร้องเรียกตามลำพังว่า ยามิโกะซังตื่นเถิด ยามิโกะซังตื่นเถิด... ทันใดจะมีเสียงเคาะประตูห้องน้ำทุกห้องดังพร้อมกัน ปัง ปัง ปัง ปัง !!!! และจะมีมือโผล่ออกมาจากโถส้วมลากเอาตัวลงไปในนั้น

4.บันไดสยอง 13 ขั้น ถ้ามีใครย่างกรายเข้าไปที่อาคารร้างเก่า และก่อนที่จะถึงดาดฟ้าชั้นบนสุด มักจะมีเรื่องเล่าอยู่เสมอว่า บันไดนั้นมี 12 ขั้น แต่ตกดึกทุกๆคืนมันจะกลับกลับเป็น 13 ขั้นอย่างน่าพิศวง และถ้ามีใครไปเหยียบขั้นที่ 13 ที่ว่าก็จะถูกผีเอาตัวไป....(ว่ากันว่าเลข 13 เป็นเลขอัปมงคลที่มักจะถูกเกลียด)

5.รูปปั้นหินมิโนมิยะคินจิโร่ ที่ หน้าโรงเรียนมีรูปปั้นหินรูปคนสมัยก่อนซึ่งแบกฟืนไว้ข้างหลังและกำลังก้ม หน้าก้มตาอ่านหนังสืออยู่ รูปปั้นที่ว่าชื่อมิโนมิยะคินจิโร่ ซึ่งเป็นตำนานโด่งดังสมัยก่อน แต่พอตกดึกรูปปั้นนี้จะขยับเองได้ และออกมาวิ่งไปตามสนามโรงเรียนยามค่ำคืนทุกๆวัน

6.ต้นคาเมเลียสีเลือด มี ต้นคาเมเลียอายุนับร้อยปีตั้งตระหง่านอยู่ที่สวนท้ายโรงเรียน แต่พอถึงวันที่ 15 มิถุนายนของทุกปี ใบสีเขียวสดของต้นนี้จะกลับกลายเป็นสีแดงคล้ายเลือดสดๆทั่วลำต้น มีตำนานเล่าว่าเมื่อสมัยสงครามโลกมีองค์หญิงคนหนึ่งถูกจับเป็นเชลยศึกเธอถูก ทรมานอยู่ต่างๆนาๆให้บอกความลับของตระกูลตัวเอง แต่เธอกลับไม่ปริปากพูด และในที่สุดวันที่ 15 มิถุนายนเธอก็ถูกสังหารแล้วนำศพมาฝังไว้ใต้ต้นไม้นี้

7.วิญญาณในลู่ว่ายที่ 4 ที่ สระว่ายน้ำเก่าของโรงเรียน มีเรื่องเล่าว่าเคยมีเด็กตัวแทนนักว่ายน้ำของโรงเรียนคนหนึ่งที่มีชื่อเสียง โด่งดัง แต่โชคร้ายที่เขาเกิดประสปอุบัติเหตุเสียชีวิตก่อนที่จะมาถึงในการแข่งขัน รอบสุดท้าน ตั้งแต่นั้นมาตกดึกที่สระว่ายน้ำลู่ที่4 จะมีวิญญาณของเขาปรากฏให้เห็นที่ตรงฝั่งของลู่ว่าย และถ้าใครบังเอิญลงไปว่ายทั้งๆที่ไม่รู้ก็จะถูกผีดึงขาจมน้ำไป...

ข้อควรรู้เกี่ยวกับการทานอาหารญี่ปุ่น


...ข้าว
ถือ ถ้วยข้าวด้วยมือข้างหนึ่งและสำหรับมืออีกข้างถือตะเกียบ ยกถ้วยข้าวขึ้นแล้วใช้ตะเกียบคุ้ยข้าวเพื่อทาน และอย่าเติมซอสลองในถ้วยข้าว

... Sushi:
ให้ เทซอส (soya sauce) ในถ้วยซอสที่จัดไว้ และให้เทซอสในปริมาณที่เราทานหมดเท่านั้น ไม่จำเป็นที่จะเพิ่มวาซาบิลงในซอส เพราะซูชิแต่ละชิ้นมักจะมีวาซาบิอยู่แล้ว และซูชิบางชิ้นก็ควรทานแบบไม่มีวาซาบิ หากต้องการเพิ่มวาซาบิจริงๆให้เพิ่มลงไปเพียงเล็กน้อยเท่านั้น เป็นการให้เกียรติเชฟ หากไม่ชอบทานวาซาบิ ควรบอกเชฟหรือพนักงานว่าไม่เอาวาซาบิ


ซูชิชนิดที่มีปลาอยู่ด้านบน หรือ nigiri zushi ให้ใช้ด้านที่เป็นข้าวซูชิจิ้มซอส ไม่ควรใช้ด้านบนจิ้มซอส

... Sashimi:

เทซอสลงในถ้วยแบ่งสำหรับซอส เติมวาซาบิลงบนชิ้นซาชิมิ แต่ไม่ควรจะเยอะเกินไปเพราะจะทำให้เสียรสชาติของปลาดิบ
... Miso Soup:

ให้ดื่มจากถ้วยเลย ยกเว้นว่ามีอาหารอื่นเช่นปลา หรือเต้าหู้ให้ใช้ตะเกียบคีบมาทาน

... Noodles:

ทาน บะหมี่ด้วยตะเกียบ และให้ระวังเรื่องเสียงการสูดบะหมี่ด้วย หรือสังเกตจากคนรอบข้างว่าเขาทำเสียงดังกันแค่ไหน สำหรับน้ำซุปบะหมี่ให้เว้นระยะงระหว่างปากและชามบะหมี่เพื่อเลี่ยงไม่ให้หก ในการดื่ม หากมีช้อนเซรามิคเตรียมไว้ให้ก็ใช้เพื่อตักซุปได้เลย
... Kare Raisu:
ข้าว แกงกะหรี่หรืออาหารจานอื่นๆที่มีข้าวพร้อมกับซอสต่างๆ อาจจะยากหากจะทานด้วยตะเกียบ จึงมักจะเสิร์ฟพร้อมช้อนคันใหญ่มากกว่าจะเสิร์ฟด้วยตะเกียบ

... Big pieces of food:
อาหาร ชิ้นใหญ่ เช่นกุ้งเทมปุระ ให้แยกชิ้นอาหารด้วยตะเกียบ (ต้องอาศัยการฝึกฝนเล็กน้อย) หรืออาจจะคีบมากัดคำเล็กๆและวางชิ้นที่เหลือไว้บนจานก่อน