วันพุธที่ 31 มีนาคม พ.ศ. 2553

5 กิจกรรมน่าหวาดเสียวที่สุดในโลก !!!


เด็กดีดอทคอม :: 10 กิจกรรมน่าหวาดเสียวที่สุดในโลก !!!;  tags: หวาดเสียว, ปลาโลมา, ฉลาม, เครื่องเล่น, กลัว, อเมริกา, ซิมบับเว,  ล่องแก่ง


1. "บิ๊กช็อต" ณ โรงแรม Stratosphere Las Vegas ลาสเวกัส ประเทศสหรัฐอเมริกา

เด็กดีดอทคอม :: 10  กิจกรรมน่าหวาดเสียวที่สุดในโลก !!!; tags: หวาดเสียว, ปลาโลมา, ฉลาม,  เครื่องเล่น, กลัว, อเมริกา, ซิมบับเว, ล่องแก่ง10 กิจกรรมน่าหวาดเสียวที่สุดในโลก !!!

ที่ หอคอยสูง 49 เมตรของโรงแรมมีเครื่องเล่นบิ๊กช็อตที่ได้ชื่อว่าหวาดเสียวที่สุดในโลก โดยเครื่องเล่นนี้สามารถเล่นได้รอบละ 16 คน บิ๊กช็อตที่มีความเร็ว 45 ไมล์ต่อชั่วโมงจะพาผู้เล่นทิ้งดิ่งจากยอดหอคอยลงมายังพื้นดินด้วยความเร็ว เพียง 2 วินาที !! (ลองนึกภาพตาม) สำรวจหัวใจของตัวเองให้ดีว่าไม่มีโรคแทรกซ้อน เพราะความหวาดเสียวนี้คือที่ 1 ในโลกที่อาจทำให้หัวใจคุณหยุดเต้นได้ !


2. ปีนสะพานเหนืออ่าวซิดนีย์ ณ เมืองซิดนีย์ ประเทศออสเตรเลีย

เด็กดีดอทคอม :: 10  กิจกรรมน่าหวาดเสียวที่สุดในโลก !!!; tags: หวาดเสียว, ปลาโลมา, ฉลาม,  เครื่องเล่น, กลัว, อเมริกา, ซิมบับเว, ล่องแก่ง
10 กิจกรรมน่าหวาดเสียวที่สุดในโลก !!!

เวลา 3 ชั่วโมงกับการปีนบนสะพานเหนืออ่าวซิดนีย์ที่ถือว่าเป็นสะพานเหล็กที่ใหญ่ที่ สุดในโลก
กับความสูง 134 เมตรเหนืออ่าวซิดนีย์ พร้อมกับทัศนียภาพที่สวยงามโดยเฉพาะโอเปราเฮาส์และตัวเมืองซิดนียร์
เป็น ความหวาดเสียวแต่สวยงามถึงใจอีกรูปแบบที่ท้าทายผู้คนมากมายจากทั่วโลก ราคาสำหรับผู้ใหญ่อยู่ที่ 220 ดอลลาร์ออสเตรเลีย และสำหรับเด็กอยู่ที่ 140 ดอลลาร์ออสเตรเลีย

3. วิ่งสู้ฟัดกับวัว กระทิง ณ เมืองปามโปลนา ประเทศสเปน

เด็กดีดอทคอม :: 10  กิจกรรมน่าหวาดเสียวที่สุดในโลก !!!; tags: หวาดเสียว, ปลาโลมา, ฉลาม,  เครื่องเล่น, กลัว, อเมริกา, ซิมบับเว, ล่องแก่ง10 กิจกรรมน่าหวาดเสียวที่สุดในโลก !!!

ประเพณีการวิ่งแข่งและต่อสู้กับวัวกระทิงบนถนนแคบๆ กลายเป็นเสน่ห์ของเมืองปามโปลนา ซึ่งกลายเป็นประเพณีที่จัดต่อกันมายาวนานทุกวันที่ 7-14 ก.ค.ของปี โดยเริ่มตั้งแต่ 8 โมงเช้า หากใครสนใจอยากลงสนามนี้ต้องรีบไปลงทะเบียนก่อน 7 โมงครึ่ง เพราะถึงแม้จะดูหวาดเสียวท้าทายชีวิต แต่ก็มีผู้คนพร้อมจะเสี่ยงตายจำนวนไม่น้อย !!!


4. พาราชูต (กระโดดเรือลากร่ม) ณ เมืองอคาปูลโก ประเทศเม็กซิโก

เด็กดีดอทคอม :: 10  กิจกรรมน่าหวาดเสียวที่สุดในโลก !!!; tags: หวาดเสียว, ปลาโลมา, ฉลาม,  เครื่องเล่น, กลัว, อเมริกา, ซิมบับเว, ล่องแก่ง10 กิจกรรมน่าหวาดเสียวที่สุดในโลก !!!

ต้นกำเนิดของพาราชูตเกิดขึ้นที่เมืองนี้ จึงไม่น่าแปลกใจที่การเล่นพาราชูตในเมืองนี้จะเป็นสิ่งที่ดึงดูดนักท่อง เที่ยวจากทั่วทุกมุมโลกผู้ที่รักทะเลและความสูง ที่จะทำให้ได้มองเห็นวิวของเมืองอคาปูลโก เขา เกาะ อ่าว ได้อย่างชัดเจนทุกมุมมอง เปิดให้เล่นได้ตลอดทั้งปียกเว้นช่วงวันหยุดในฤดูใบไม้ผลิ

5. ปีนหน้าผาหิน ณ อุทยานแห่งชาติโยเซมิตี แคลิฟอร์เนีย ประเทศสหรัฐอเมริกา

เด็กดีดอทคอม :: 10  กิจกรรมน่าหวาดเสียวที่สุดในโลก !!!; tags: หวาดเสียว, ปลาโลมา, ฉลาม,  เครื่องเล่น, กลัว, อเมริกา, ซิมบับเว, ล่องแก่ง10 กิจกรรมน่าหวาดเสียวที่สุดในโลก !!!

อุทยานแห่งชาติโยเซมิตีเป็นอุทยานแห่งชาติที่ใหญ่อันดับ 3 ของอเมริกา จึงไม่น่าแปลกใจที่ภายในจะมีความหวาดเสียวซ่อนอยู่จนถึงกับติดอันดับ 3 ของ 10 กิจกรรมที่หวาดเสียวที่สุดในโลก นั่นคือการปีนหน้าผาหินที่ถือว่าเป็นสิ่งที่ท้าทายมากสำหรับนักปีนหน้าผา เพราะหน้าผานี้มีหินก้อนที่ใหญ่ยักษ์ แถมแต่ละก้อนยังอยู่ห่างกัน เพิ่มความยากเข้าไปอีกเท่าตัว ต้องใช้ความชำนาญในการปีนอย่างมาก เพราะหนึ่งก้าวที่พลาดสะดุดนั่นหมายถึงชีวิต !!


เด็กดีดอทคอม :: เผยโฉม! ข้อสอบเอ็นทรานซ์ของเกาหลีใต้; tags: อังกฤษ,  เกาหลี, PAT, GAT, onet, โอเน็ต, แอดมิชชั่น, ข้อสอบ

เผยโฉมที่แรก !!
ตัวอย่างข้อสอบเอ็นทรานซ์วิชาภาษาอังกฤษของ เกาหลีใต้


มาๆๆๆ มาดูกันว่าจะสูสีกับข้อสอบ O-NET หรือเปล่า ??

เด็กดีดอทคอม :: เผยโฉม! ข้อสอบเอ็นทรานซ์ของเกาหลีใต้; tags: อังกฤษ,  เกาหลี, PAT, GAT, onet, โอเน็ต, แอดมิชชั่น, ข้อสอบ

ข้อ 21 หาว่าคำที่ถูกต้องคือคำใด
ข้อ 25 หาคำที่เหมาะสมเติมลงในช่องว่าง
ข้อ 29 ดูรูปแล้วหาว่าประโยคไหนไม่ถูกต้อง
ข้อ 30 อ่านบทความแล้วพิจารณาว่า She มีความรู้สึกอย่างไร
ข้อ 42 หาว่าหัวข้อของเรื่องนี้คือข้อใด

เด็กดีดอทคอม ::  ฝรั่งเศส VS เยอรมัน เรียนภาษาไหนดี ?; tags: ทุน, แผนการเรียน, เรียน,  ฝรั่งเศส, เยอรมัน, ภาษาฝรั่งเศส VS เยอรมัน เรียนภาษาไหนดี ?


เริ่มต้นที่ภาษาฝรั่งเศส จุด เด่นๆ ของภาษาฝรั่งเศสเลยนั้นคงไม่พ้นการเป็นภาษาที่มีการออกเสียงที่ไพเราะมากกกก นอกจากนี้ใครที่มีพื้นฐานอังกฤษแน่น แปลว่ามีสิทธิ์เรียนภาษาฝรั่งเศสรุ่งแน่ๆ ค่ะ เพราะศัพท์ภาษาฝรั่งเศสนั้นมีส่วนคล้าย หรือเหมือนภาษาอังกฤษเยอะมาก เช่น


Anniversary ------> Anniversaire
Alphabet ---------> Alphabet
Language --------> Langue

ดังนั้นการที่มีการนำคำภาษาอังกฤษมาใช้ปนกับภาษาฝรั่งเศสเดิมอย่างแพร่หลาย จนทำให้รัฐบาลฝรั่งเศสจึงได้ออกกฎหมายบางฉบับเพื่ออนุรักษ์ภาษาฝรั่งเศส โดยกำหนดให้ใช้คำจากภาษาฝรั่งเศสแท้ๆ ในโฆษณา ประกาศ และเอกสารราชการต่าง ๆ และนอกจากนี้ยังมีกำหนดให้สถานีวิทยุทุกสถานีเปิดเพลงภาษาฝรั่งเศสอย่างน้อย ร้อยละ 40 ของเพลงทั้งหมดที่เปิดในสถานีนั้น นับว่าเป็นวิธีการอนุรักษ์ภาษาฝรั่งเศสที่ดีไม่ใช่เล่นเลยนะคะเนี่ย

เด็กดีดอทคอม ::  ฝรั่งเศส VS เยอรมัน เรียนภาษาไหนดี ?; tags: ทุน, แผนการเรียน, เรียน,  ฝรั่งเศส, เยอรมัน, ภาษาฝรั่งเศส VS เยอรมัน เรียนภาษาไหนดี ?

ส่วน จุดเด่นของภาษาฝรั่งเศสอีกอย่างคงไม่พ้นการแบ่งเป็น 2 เพศคือชายและหญิง สังเกตง่ายๆ ว่าถ้าคำศัพท์ไหนเป็นเพศหญิง ส่วนมากก็จะมีตัว e ลงท้ายคำศัพท์นั้น (แต่บางทีอาจมีข้อยกเว้นจุกจิกค่ะ ) ต้องจำกันจนมึนหัวเลยค่ะว่าคำศัพท์นี้เป็นเพศชายหรือหญิง แต่ไปๆ มาๆ ก็จะชินและคุ้นเคยไปเองค่ะ และอีกอย่างคือไวยากรณ์ของฝรั่งเศสถือว่าค่อนข้างยากถึงยากมากเลยทีเดียว

สำหรับประเทศที่ใช้ภาษาฝรั่งเศสก็เช่น ฝรั่งเศส(และดินแดนในอาณานิคม) เมืองคิวเบก ประเทศแคนาดา เบลเยี่ยม เมืองเจนีวา ประเทศสวิสเซอร์แลนด์ ลักเซมเบิร์ก โมนาโก แอฟริกาตะวันตก แอฟริกากลาง เฮติ เป็นต้น โดยรวมแล้วปัจจุบันมีคนพูดภาษาฝรั่งเศสเป็นภาษาหลักประมาณ 77 ล้านคน และหากรวมเป็นภาษาที่สองด้วยจะเป็น 128 ล้านคน เยอะไม่ใช่เล่นเลยนะเนี่ย

เด็กดีดอทคอม ::  ฝรั่งเศส VS เยอรมัน เรียนภาษาไหนดี ?; tags: ทุน, แผนการเรียน, เรียน,  ฝรั่งเศส, เยอรมัน, ภาษาฝรั่งเศส VS เยอรมัน เรียนภาษาไหนดี ?


ส่วนภาษาเยอรมันนั้น บางคนอาจจะบ่นว่าดูยากกว่าฝรั่งเศส เพราะฝรั่งเศสมี 2 เพศ แต่คำศัพท์ ในภาษาเยอรมันมี 3 เพศค่ะ คือเพศหญิง เพศชาย และไม่มีเพศ โดยถ้าเป็นคำศัพท์เพศหญิงก็จะมีตัว e ที่ท้ายคำเหมือนภาษาฝรั่งเศส ส่วนคำศัพท์ที่ไม่มีเพศนั้น ส่วนมากจะเป็นคำศัพท์ที่มาจากภาษาอื่น เช่น radio laptop

ถึงภาษาเยอรมันจะมี 3 เพศมากกว่าฝรั่งเศส แต่ว่ากันว่าไวยากรณ์ของภาษาเยอรมันนั้นง่ายกว่าฝรั่งเศสมาก รวมถึงการอ่านก็ง่าย และตรงตัวมาก อย่างเช่น ตัว A ในภาษาเยอรมันจะออกเสียงว่า "อา" เท่านั้น แต่ยังไงก็ตาม ว่ากันว่าการออกเสียงของภาษาเยอรมันนั้นจะค่อนข้างหนักแน่น ไม่ลื่นไหลเหมือนภาษาฝรั่งเศส ดังนั้นอาจจะฟังดูไม่ลื่นหู หรือไพเราะเท่ากับภาษาฝรั่งเศสค่ะ

เด็กดีดอทคอม ::  ฝรั่งเศส VS เยอรมัน เรียนภาษาไหนดี ?; tags: ทุน, แผนการเรียน, เรียน,  ฝรั่งเศส, เยอรมัน, ภาษาฝรั่งเศส VS เยอรมัน เรียนภาษาไหนดี ?


สำหรับประเทศที่ใช้ภาษาเยอรมันก็เช่น เยอรมัน สวิสเซอร์แลนด์ ออสเตรีย ลิกเตนสไตน์ ลักเซมเบิร์ก เบลเยี่ยม โดยปัจจุบันมีผู้ใช้ภาษาเยอรมันเป็นภาษาหลักทั่วโลกรวม 110 ล้านคน และหากรวมเป็นภาษาที่สองแล้วมี 120 ล้านคนค่ะ

เด็กอังกฤษเกรด 10-11 เรียนอะไรกัน?

เด็กดีดอทคอม :: เด็กอังกฤษเกรด 10-11 เรียนอะไรกัน?; tags: gcse, ib,  High, SCHOOL, English, UK, หลักสูตร, เรียนต่อ, อังกฤษเด็กอังกฤษเกรด 10-11 เรียนอะไรกัน?



การเรียนต่อมัธยมที่อังกฤษนั้น ถ้าเป็นในระดับไฮสคูลก็จะแบ่งเป็นเกรด 9-13 ค่ะ (เกรด 1-8 คือระดับประถมศึกษา) โดยในเกรด 9 นั้น นักเรียนจะได้เรียนวิชาพื้นฐานเพื่อปูความรู้ให้แน่น เพื่อให้รู้ว่าตนเองถนัดวิชาอะไรหรือไม่ชอบวิชาไหน และพอขึ้นมาเรียนเกรด 10-11 หรือที่เรียกกันว่า GCSE (General Certificate of Secondary School) ก็ถึงเวลาที่จะเลือกเรียนในวิชาที่ตนเองสนใจจริงๆ

GCSE (General Certificate of Secondary School) ??

หลักสูตร GCSE เกิดขึ้นในเดือนกันยายน ปี 1983 โดย GCSE เป็นการเรียนวิชาต่างๆ เพื่อปูพื้นฐานและความถนัดก่อนที่จะขึ้นไปสู่เกรด 12-13 โดยวิชาที่เรียนในหลักสูตร GCSE เกรด 10-11 นั้น นักเรียนสามารถเลือกเรียนได้ 7-10 วิชาจากหมวดต่างๆ เช่น

เด็กดีดอทคอม :: เด็กอังกฤษเกรด 10-11 เรียนอะไรกัน?; tags: gcse, ib,  High, SCHOOL, English, UK, หลักสูตร, เรียนต่อ, อังกฤษ

1. วิชาหลักที่ต้อง เรียน ได้แก่ อังกฤษ คณิตศาสตร์ และวิทยาศาสตร์
2. ภาษา แบ่งเป็น 2 ประเภท
- ภาษาทันสมัย เช่น แอฟริกัน อาราบิค เยอรมัน ฝรั่งเศส จีน เปอร์เซียน รัสเซีย ตุรกี ญี่ปุ่น อิตาเลียน ฮินดี กรีก โปลิช
โปรตุกีส เป็นต้น
- ภาษาคลาสสิค เช่น อาราบิคคลาสสิค กรีกโบราณ ฮิบรู ละติน
3. เทคโนโลยี เช่น เทคโนโลยีและการออกแบบ เทคโนโลยีอาหาร ออกแบบเสื้อผ้า ระบบและการควบคุม การออกแบบผลิตภัณฑ์ การพัฒนาในเด็ก การออกแบบกราฟฟิค เป็นต้น
4. มนุษยศาสตร์ เช่น ภูมิศาสตร์ ประวัติศาสตร์ เศรษฐศาสตร์ ศาสนา
5. ความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์และสังคม เช่น ธุรกิจและเศรษฐศาสตร์ การดูแลสุขภาพและสังคม การเดินทางและการท่องเที่ยว สังคมวิทยา การโรงแรม กฎหมาย เป็นต้น
6. การแสดงออกทางศิลปะ เช่น ทัศนศิลป์ กราฟฟิค การถ่ายรูป การละคร การเต้น การแสดง ดนตรี เป็นต้น
7. อื่นๆ เช่น พละศึกษา สถิติ วิทยาศาสตร์สิ่งแวดล้อม การก่อสร้าง ธรณีวิทยา ดาราศาสตร์ เป็นต้น

5 สิ่ง 'ควรทำ' และ 'ไม่ควรทำ' ในเมืองจีน

เด็กดีดอทคอม :: 5 สิ่ง ควรทำ  และ ไม่ควรทำ ในเมืองจีน ; tags: China, มารยาท, วัฒนธรรม, ภาษา, จีน

PLEASE DO ......

1. ชื่นชมเหยาหมิง (นักกีฬาบาสเกตบอลชาว
จีน) ให้คนจีนฟังว่าเป็นนักกีฬาที่เก่งและเล่นได้
ยอดเยี่ยมมาก เพราะคนจีนนั้นรักและภูมิใจในตัว
เหยาหมิงมากๆ (ลองคิดดูว่าถ้ามีชาวต่างชาติมา
ชมนิชคุณ พวกเราคงจะปลื้มกันใช่มั้ยล่ะ ^^)


2. ทานข้าวให้หมดจาน ไม่ควรเหลือแม้แต่เม็ด
เดียว คนจีนเชื่อว่าถ้าทานข้าวไม่หมด จะเกิดโชค
ไม่ ดีขึ้น แต่ปัจจุบันนี้ความเชื่อนี้ได้เปลี่ยนไปมาก
เพราะคนจีนสมัยใหม่ จะมองว่า ถ้าฝ่ายตรงข้าม
ทานข้าวจนหมด แสดงว่าไม่อิ่มและต้องตักข้าวให้
เพิ่ม


3. เวลาดื่มอวยพรในงานต่างๆ ให้ถือแก้วให้ต่ำ
กว่าผู้ใหญ่ที่มีอายุมากกว่า เพื่อเป็นการแสดงความ
เคารพ


4. ส่งของด้วยมือทั้ง 2 ข้าง เพื่อเป็นการแสดง
ความเต็มใจในการส่งของให้


5. เตรียมใจพบกับคนจีนมากมายที่จะเข้ามาคุย
เพื่ออยากลองฝึกทักษะภาษา อังกฤษด้วย คนจีนได้
ชื่อว่าเป็นชาติที่เป็นมิตรต่อนักท่องเที่ยวต่าง ชาติ
มากที่สุดชาติหนึ่งในโลก ดังนั้นถ้าเจอคนจีนมอง
ด้วยสายตา ตื่นเต้นตกใจหรือเข้ามาทัก ก็ไม่ต้อง
แปลกใจไป


PLEASE DON'T

1. ห้ามเขียนข้อความใดๆ ก็ตามด้วยหมึกสีแดง ยกเว้นในการทำข้อสอบ เพราะการเขียนข้อความด้วยสีแดงในเมืองจีนนั้นหมายถึงการประท้วงหรือแสดงการ คัดค้านไม่พอใจ


2. ห้ามให้นาฬิกาหรือหนังสือเป็นของขวัญ เพราะประโยคในภาษาจีนกลางที่ว่า "ให้นาฬิกา" ออกเสียงคล้ายกับประโยคที่ว่า "มาร่วมงานศพ" และประโยคที่ว่า "ให้หนังสือ" ออกเสียงคล้ายกับประโยคที่ว่า "ส่งมอบความพ่ายแพ้"
เด็กดีดอทคอม :: 5 สิ่ง ควรทำ  และ ไม่ควรทำ ในเมืองจีน ; tags: China, มารยาท, วัฒนธรรม, ภาษา, จีน

3. ห้ามโกรธหรือไม่พอใจเวลาถูกถามว่าแต่งงานหรือยังหรือได้เงินเดือนเท่าไหร่ (เพราะเจอถามกันบ่อยมากๆ) สังเกตได้ง่ายๆ ว่าถ้าครอบครัวเชื้อสายจีนมาพบปะกัน ก็จะคุยกันถามซอกแซก เช่น ทำงานอะไร เกิดปีไหน มีลูกกี่คน ค้าขายอะไร เป็นต้น


4. ห้ามใส่เสื้อที่เขียนว่า FREE TIBET ยกเว้นถ้าอยากให้คนมองเยอะๆ หรือต้องการเรียกร้องความสนใจ ( ทิเบตและจีนมีปัญหากันอยู่ เนื่องจากทิเบตเป็นเขตการปกครองพิเศษของจีน แต่ทิเบตต้องการต่อต้านการปกครองนี้)


5. ห้ามใช้กระดาษเงินกระดาษทองในการตกแต่งบ้านเพราะใช้ในงานกงเต๊กเท่านั้น







วันอังคารที่ 16 มีนาคม พ.ศ. 2553

8 เทคนิคชาร์จสมองให้พร้อมฟิตเสมอ

ฉลาด


สมอง...เป็นสิ่งสำคัญในกระบวนการคิด และทำสิ่งต่าง ๆ ของร่างกายคนเรา นอกจากการบำรุงโดยอาหารที่มีประโยชน์แล้ว ก็ควรมีการฝึกฝน และพัฒนาสมองอยู่เสมอด้วย และนี่ก็เป็นเทคนิคที่น่าสนใจ ซึ่งเราขอแนะนำให้ลองนำไปฟิตสมองกันดูค่ะ

1. ฝึกใช้มือข้างที่ไม่ถนัด โดยอาจจะเริ่มจากการทำกิจวัตรประจำของตัวเอง เช่น การ แปรงฟัน จากมือขวาก็เปลี่ยนมาใช้มือซ้ายดู จากนั้นก็ค่อยๆ เปลี่ยนเป็นกิจกรรมที่มีความซับซ้อนมากขึ้น เช่น กินข้าว เป็นต้น วิธีนี้จะช่วยให้เซลล์สมองได้เรียนรู้ประสบการณ์ใหม่ๆ เพิ่มขึ้น

2. ฝึกโฟกัสสายตา ให้นั่งจ้องไปข้างหน้าแบบธรรมดาทั่วไปกวาดสายตามองไปรอบ ๆ มุ่งความสนใจไปในสิ่งที่เห็น หรือจะจดบันทึกก็ได้ เป็นการฝึกเรื่องของความจำ และช่วยให้การโฟกัสสายตาดีขึ้น

3. เล่นขว้างลูกบอล โดยขว้างและรับลูกบอลใบใหญ่จาก 1 เป็น 2 ลูก จะช่วยสมองในเรื่องควบคุมการเคลื่อนไหวของร่างกาย ในส่วนของการมองเห็น และระบบประสาทได้ดีขึ้น

4. หัดเรียนรู้สิ่งใหม่ เช่นเครื่องเล่น การฟัง การแปลความโน้ตดนตรี การเคลื่อนไหวอย่างมีสติ จะช่วยในเรื่องของการทำงานของสมองในหลายด้านให้สัมพันธ์กัน

5. เที่ยวพิพิธภัณฑ์ วิธีนี้จะฝึกความจำของสมองในระดับต่าง ๆ ทั้งความคิด การมอง การจดจำ ซึ่งจะช่วยพัฒนาระบบประสาท และป้องกันการเสื่อมของเซลล์สมอง

6. จดจำเนื้อเพลง การฟังอย่างตั้งอกตั้งใจ จดจำเนื้อเพลง แล้วร้องตาม จะช่วยเพิ่มศักยภาพในการเข้าใจ ความคิด และจดจำได้ดีขึ้น

7. ฝึกทำกิจกรรมเงียบ ๆ คนเดียว และเป็นเกมส์ที่มีประโยชน์ เช่น เกมส์ปริศนาอักษรไขว้ ถักนิตติ้ง เป็นต้น การฝึกในลักษณะนี้จะเป็นการช่วยพัฒนากระบวนการเรียนรู้ให้กับสมอง

8. ลองลดเสียงโทรทัศน์ลง เพราะการฟังอย่างตั้งใจ จะช่วยฝึกสมองในเรื่องของการจับใจความ ในสิ่งที่ได้ยินอย่างรวดเร็วได้ดีขึ้น


วันจันทร์ที่ 8 มีนาคม พ.ศ. 2553

นอนน้อย ความจำไม่ดี

เคยง่วงในห้องเรียนบ้างไหม เรียนแล้วจำไม่ได้ สาเหตุหนึ่งเพราะนอนน้อยนั่นเอง

sleep

โดยเฉลี่ย เด็กวัยประถมและมัธยมนอนประมาณ 7 ชั่วโมง ในวันปกติ และนอน 6 ชั่วโมง ในวันสุดสัปดาห์ การ นอนน้อยมีผลเสียต่อความจำ เนื่องจากในระหว่างหลับลึกสมองจะจัดเก็บข้อมูลที่ได้รับมาในวันนั้น และจัดระเบียบเหมือนกับจัดของในลิ้นชักให้เป็นหมวดหมู่ เช่น การเรียนภาษาต่างประเทศที่มีคำศัพท์ใหม่ๆ และเรียนเสียงใหม่ๆ เวลานอน สมองจะประมวลคำศัพท์และเสียงเหล่านั้นและจัดเก็บเป็นความจำ แต่ถ้านอนน้อยสมองจะล้า ทำให้จำสิ่งที่เพิ่งเรียนไปไม่ได้ และทำให้ขาดสมาธิในการ เรียน อีกทั้งมีผลต่อการเรียนในระยะยาวด้วย

ปิดเทอมนี้ และเปิดเทอมต่อๆ ไปนอนกันเยอะๆ ดีกว่าเนอะ


วันอาทิตย์ที่ 7 มีนาคม พ.ศ. 2553

แรพ O-net



สุดยอดฮ่ามั่กๆๆ



วันพฤหัสบดีที่ 4 มีนาคม พ.ศ. 2553

ประธานาธิบดีสหรัฐ คนที่ 1-44

1. George Washington
2. John Adams
3. Thomas Jefferson
4. James Madison
5. James Monroe
6. John Quincy Adams
7. Andrew Jackson
8. Martin Van Buren
9. William Henry Harrison
10. John Tyler
11. James K. Polk
12. Zachary Taylor
13. Millard Fillmore
14. Franklin Pierce
15. James Buchanan
16. Abraham Lincoln
17. Andrew Johnson
18. Ulysses S. Grant
19. Rutherford B. Hayes
20. James A. Garfield
21. Chester A. Arthur
22. Grover Cleveland
23. Benjamin Harrison
24. Grover Cleveland
25. William McKinley
26. Theodore Roosevelt
27. William Howard Taft
28. Woodrow Wilson
29. Warren G. Harding
30. Calvin Coolidge
31. Herbert Hoover
32. Franklin D. Roosevelt
33. Harry S. Truman
34. Dwight D. Eisenhower
35. John F. Kennedy
36. Lyndon B. Johnson
37. Richard Nixon
38. Gerald Ford
39. Jimmy Carter J
40. Ronald Reagan J
41. George H. W. Bush
42. Bill Clinton
43. George W. Bush J
44. Barack Obama


มาดูหนูดี สอนวิธีการพัฒนาสมองกันค่ะ


วนิ ษา เรซ หรือ หนูดี หญิงเก่งของไทย (อเมริกัน) จบปริญญาตรีเกียรตินิยมด้าน ครอบครัวศึกษา Family Studies มหาวิทยาลัยแมรี่แลนด์ คอลเลจพาร์ค สหรัฐอเมริกา มาแนะนำให้หนูๆ รู้จักวิธีการพัฒนาสมอง สู่การเป็นอัจฉริยะค่ะ ลองมาอ่านกันนะ


1. จิบน้ำบ่อย ๆ สมองประกอบด้วยน้ำ 85 % เชลล์สมองก็เหมือนต้นไม้ที่ต้องการน้ำหล่อเลี้ยงถ้าไม่มีน้ำ ต้นไม้ก็เหี่ยวถ้าไม่อยากให้เชลล์สมองเหี่ยวซึ่งส่งผลให้การส่งข้อมูลช้า กลายเป็นคนคิดช้าหรือคิดไม่ค่อยออก แต่ละวันจึงควรดื่มน้ำบ่อย ๆ

2. กินไขมันดี คนไม่ค่อยรู้ว่าสมองคือก้อนไขมัน ซึ่งจำเป็นต้องมีไขมันดีไปทดแทนส่วนที่สึกหรอ แนะนำให้กินไขมันดีระหว่างวัน จำพวกน้ำมันปลา สารสกัดใบแปะก๊วย ปลาที่มีไขมันดีอย่าง ปลาแซลมอนนมถั่วเหลืองวิตามินรวม น้ำมันพริมโรสเป็นน้ำมันดี ที่ทำให้เชลล์ชุ่มน้ำส่วนวิตามินซีกินแล้วสดชื่น

3. นั่งสมาธิวันละ 12 นาที หลังจากตื่นนอนแล้ว ให้ตั้งสติและนั่งสมาธิทุกเช้า วันละ 12 นาทีเพื่อให้สมองเข้าสู่ช่วงที่มีคลื่น Thetaซึ่งเป็นคลื่นที่ผ่อนคลายสุด ๆ ทำให้สมองมี Mental Imageryสามารถจินตนาการเห็นภาพและมีความคิดสร้างสรรค์ (ถ้าทำไม่ได้ตอนเช้า ) ให้หัดทำก่อนนอนทุกวัน

4. ใส่ความตั้งใจ การตั้งใจในสิ่งใดก็ตามเหมือนการโปรแกรมสมองว่านี่คือสิ่งที่ต้องเกิด ระหว่างวันสมองจะปรับพฤติกรรมเราให้ไปสู่เป้าหมายนั้นทำให้ประสบความสำเร็จ ในสิ่งต่าง ๆ เพราะสมองไม่แยกระหว่างสิ่งที่ทำจริงกับสิ่งที่คิดขึ้นทั้งสองอย่างจึงเป็น เสมือนสิ่งเดียวกัน

5. หัวเราะและยิ้มบ่อย ๆ ทุกครั้งที่ยิ้มหรือหัวเราะ จะมีสารเอ็นโดรฟิน ซึ่งเป็นสารแห่งความสุขหลั่งออกมาเท่ากับเป็นการกระตุ้นให้มีความอยากรักและ หวังดีต่อคนอื่นไปเรื่อยๆ

6. เรียนรู้สิ่งใหม่ทุกวัน สิ่งใหม่ในที่นี้หมายถึง สิ่งต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในชีวิตประจำวัน เช่นกินอาหารร้านใหม่ ๆ รู้จักเพื่อนใหม่อ่านหนังสือเล่มใหม่ คุยกับเพื่อนร่วมงานและเรียนรู้วิธีการทำงานของเขา เป็นต้นเพราะการเรียนรู้สิ่งใหม่ทำให้สมองหลั่งสารเอ็นโดรฟิน และโดปามีนซึ่งเป็นสารแห่งการเรียนรู้กระตุ้นให้อยากเรียนรู้และสร้างสรรค์ ไปเรื่อยๆ เมื่อมีความสุขก็ทำให้มีความคิดสร้างสรรค์

7. ให้อภัยตัวเองทุกวัน ขณะที่การไม่ให้อภัยตัวเอง โกรธคนอื่น โกรธตัวเอง ทำให้เปลืองพลังงานสมอง การให้อภัยตัวเองเป็นการลดภาระของสมอง

8. เขียนบันทึก Graceful Journal ฝึกเขียนขอบคุณสิ่งดี ๆ ที่เกิดขึ้นแต่ละวันลงในสมุดบันทึก เช่นขอบคุณที่มีครอบครัวที่ดี ขอบคุณที่มีสุขภาพที่ดีขอบคุณที่มีอาชีพที่ทำให้มีความสุข เป็นต้น เพราะการเขียนเรื่องดี ๆทำให้สมองคิดเชิงบวกพร้อมกับหลั่งสารเคมีที่ดีออกมา ช่วยให้หลับฝันดี ตื่นมาทำสมาธิได้ง่าย มีความคิดสร้างสรรค์

9. ฝึกหายใจลึก ๆ สมองใช้ออกชิเจน 20-25 % ของออกชิเจนที่เข้าสู่ร่างกาย การฝึกหายใจเข้าลึก ๆ จึงเป็นการส่งพลังงานที่ดีไปยังสมองควรนั่งหลังตรงเพื่อให้ออกชิเจนเข้าสู่ ร่างกายได้มากขึ้น ถ้านั่งทำงานนาน ๆอาจหาเวลายืนหรือเดินยึดเส้นยืดสายเพื่อให้ปอดขยายใหญ่สามารถหายใจเอาออกชิ เจนเข้าปอดได้เพิ่มขึ้นอีก 20 %การมีสมองที่ดีก็เหมือนทักษะทุกอย่างในโลกที่เรียนรู้ได้ แต่จะเก่งหรือไม่นั้นขึ้นอยู่กับการฝึกฝน ถ้าเราดูแลและฝึกฝนสมองให้ดี คุณภาพชีวิตก็จะดีตาม

วนิษา กล่าวว่า คนทั่วไปมักมองว่าคนที่เป็นอัจฉริยะมักจะหมกมุ่นอยู่กับตำรากองโต ใส่แว่นหนาเตอะและไม่ค่อยมีมนุษยสัมพันธ์ซึ่งมักเกิดกับคนในวงแคบ เช่น คนที่เก่งด้านวิทยาศาสตร์คณิตศาสตร์หรือดนตรี แต่ความจริงแล้ว อัจฉริยภาพมีมากกว่านั้น ดร.โฮเวิร์ด การ์ดเนอร์ผู้คิดค้นทฤษฎีพหุปัญญาซึ่งเสนอว่ามนุษย์มีอัจฉริยภาพอย่างน้อย 8 ด้าน เพียงแต่บางด้านอาจเด่นกว่าด้านอื่นและขึ้นอยู่กับการฝึกฝนมาตั้งแต่เด็ก

อัจฉริยภาพ 8 ด้านที่ว่า ได้แก่
1.
อัจฉริยภาพด้านภาษาและการสื่อสาร
2. อัจฉริยภาพด้านร่างกายและการเคลื่อนไหว
3. อัจฉริยภาพด้านมิติสัมพันธ์
4. อัจฉริยภาพด้านตรรกะและคณิตศาสตร์
5. อัจฉริยภาพด้านการเข้าใจในตนเอง
6. อัจฉริยภาพด้านการเข้าใจผู้อื่นและมนุษยสัมพันธ์
7. อัจฉริยภาพด้านธรรมชาติ
8. อัจฉริยภาพด้านดนตรี

สมองของคนเรามีน้ำหนักเท่ากับร้อยละ 2 ของน้ำหนักร่างกายโดยสมองใช้ออกซิเจนร้อยละ 25 หรือ 1ใน 4 ของการใช้ออกซิเจนในร่างกายทั้งหมด สิ่งที่วนิษาพูดทำให้แปลกใจและลบความเชื่อหรือความรู้เก่าเกี่ยวกับสมองไป ได้เลย เพราะอัจฉริยภาพของคนไม่ได้อยู่ที่เซลล์สมองไม่ได้อยู่ที่น้ำหนักสมองและไม่ ได้อยู่ที่รอยหยักของสมอง แต่อยู่ที่เส้นใยสมองและไมยีลินหรือไขมันสมองมาห่อหุ้ม เนื่องจากเซลล์สมองตายไปทุกวัน แต่จะมีการสร้างเส้นใยสมองใหม่ๆ เกิดขึ้นโดยการทำซ้ำๆ กัน

ดังนั้น อัจฉริยภาพสร้างได้โดยการทำซ้ำๆ กันนั่นเอง เช่น หากเล่นเปียโนไม่เป็น แต่ถ้าฝึกทุกวันเป็นเวลา 2 ปี ก็จะเป็นคนใหม่ที่เป็นอัจฉริยภาพด้านเปียโนได้ อย่างไรก็ตามคนที่มีเส้นใยสมองมากที่สุดไม่ได้เป็นคนที่ฉลาดที่สุด เพราะสมองมีเนื้อที่จำกัดในการเก็บเส้นใยสมองสมองจึงมีการ "รีดทิ้ง" เส้นใยสมองในส่วนที่ไม่จำเป็นต้องใช้ในเวลานั้น จึงไม่น่าแปลกใจว่าเด็กแรกเกิดมีเส้นใยสมองมากที่สุดเมื่อเทียบกับเด็กคน เดียวกันในอายุ 6 ขวบ และ 14ปีและยิ่งโตขึ้นเส้นใยสมองยิ่งน้อยลง แต่ไม่ได้หมายความว่าจะโง่กว่าเดิม นั่นเป็นเพราะว่าสมองมีการจัดเก็บและมีแบบแผนในการเก็บเส้นใยสมอง อัจฉริยภาพทั้ง 8 ด้าน นั่นเอง

เป็นไงค่ะ รู้อย่างนี้แล้ว เราเป็นอัจฉริยะกันดีกว่านะ ไม่เห็นจะยากเลยใช่ไหมอ่ะ


วันจันทร์ที่ 1 มีนาคม พ.ศ. 2553

สูงได้ ใน ( 1 นาที )

1...ท่าแรกให้นั่งคุกเข่า


2...โน้มตัวไปที่ด้านหลัง


3..นอนราบและยกแขนขึ้นไปที่ด้านบน



บริหารร่างกายในท่านี้จะช่วยให้กระดูกที่งอหรือคดไปตามเวลาของอายุ

ให้กลับมาอยู่ในแนวตรงได้อย่างน่าทึ่ง

เรื่องของในหลวง....ขำขำ

มีอยู่ปีนึงที่ในหลวงทรงเสด็จพระราชทานปริญญาบั ตร
อธิการบดีอ่านรายชื่อบัณฑิตแล้วบังเอิญว่า มีเหตุขัดข้องบางประการ ทำให้อ่านขาดตอน

ก็ต้องรีบหาว่าอ่านรายชื่อไปถึงไหนแล้ว ปรากฏว่าในหลวงท่านทรงจำได้
ท่านเลยตรัสกับอธิการไปว่า "เมื่อกี้นี้ (ชื่อ....) เค้ารับไปแล้ว"

และมีอีกปีนึงขณะที่พระราชทานปริญญาบัตรอยู่ดีๆ ไฟดับไปชั่วขณะ...
ทำให้บัณฑิตคนหนึ่งพลาดโอกาสครั้งสำคัญในการถ่ายรูป

พอในหลวงทรงพระราชทานปริญญาบัตรเรียบร้อยแล้ว ก่อนที่จะให้พระบรมราโชวาท
ท่านทรงให้อธิการบดีเรียกบัณฑิตคนนั้นมารับพระราชทาน อีกครั้ง

เพื่อจะได้มีรูปไว้เป็นที่ระลึก ตื้นตันกันถ้วนทั่วทั้งหอประชุม


บ้านผีสิง ที่ น่ากลัวที่สุดในโลก และ ดีที่สุด

บ้านผีสิง ที่ น่ากลัวที่สุด และ ดีที่สุด

Walt Disney's Haunted Mansion ย้อนกลับไปในช่วงปี 1950 วอล์ท ดีสนีย์ ( Walt Disney ) และ นักออกแบบศิลป์ ( Conceptual Artist ) นามว่า ฮาลเปอร์ กอฟฟ์ ( Harper Goff ) และ จินตวิศวกร ( Imagineer ) นามว่า เคน แอนเดอร์สัน ( Ken Anderson ) ได้สรุปรูปแบบ และแปลน สวนสนุก ดีสนีย์แลนด์ ( Disneyland theme park ) ซึ่งประกอบไปด้วย เมืองเล็กๆ ถนนหลัก ( Main Street ) และ บ้านผีสิง ( Haunted House ) ที่มาจากตำนานปรัมปรา เรื่องโจษจันน่าสพึงกลัว มากมาย มารวมกัน และด้วยเทคนิค และเทคโนโลยีที่ทาง วอล์ท ดีสนีย์ มีจากการถ่ายทำภาพยนต์ ที่นำมาผสมผสาน จนลงตัวอย่างที่สุด นำมาสู่ บ้านผีสิง ที่ น่ากลัวที่สุด และ ดีที่สุด

Ghostly Library

หลังจากขึ้นรถดูมบักกี้ มันจะนำคุณเข้าสู่พื้นที่ที่เรียกว่า หอสมุดผี สิง ( Ghostly Library ) โดยแต่งเป็นหอสมุด ที่มีชั้นวางหนังสือทำจากไม้สีเข้ม ภายในชั้นมีหนังสือวางอยู่เต็ม สลับกับรูปปั้น 3 ตัว เมื่อรถดูมบักกี้แล่นผ่าน หนังสือภายในชั้น จะคล้ายกับมีมือที่มองไม่เห็นดึงออกบ้าง เข้าบ้าง หนังสือที่ตกอยู่ที่พื้นก็จะเริ่ม เคลื่อนไหวคล้ายกับมีชีวิต รูปปั้นที่สงบนิ่ง ก็เหมือนกับจ้องมองอย่างไม่วางตา

หอสมุด ผีสิง
บรรยากาศภาย ในห้องสมุดผีสิง

Staircases Endless

เมื่อผ่านหอสมุดผีสิง จะเข้าสู่พื้นที่ บันไดไว้สิ้นสุด จะสร้างเป็นบันได้จำนวนมาก สลับซับซ้อนกันไปมา เป็นเขาวงกต ไว้ซึ่งจุดสิ้นสุด บ้างก็กลับหัวทำให้คิดว่ามนุษย์คนใดจะสามารถใช้บันใดนี้ได้ นอกจากผ..ผ.ผีเท่านั้นที่จะสามารถเดินผ่านบันไดนี้ได้

บันไดวงกต
บันได มากมายที่มุ่งสู่ประตูแปลก บ้างก็กลับหัวกลับหาง พุ่งสู่เพดานชวนให้คิดว่าจะมีมนุษย์คนใดใช้บันไดนี้นอกจาก ......

สถาปัตย์มหัศจรรย์! โลกตะลึง 10 ตึกประหลาด

ตึกประหลาด"สถาบัน สถาปัตยกรรมแห่งสหรัฐอเมริกา" พยากรณ์ล่าสุดว่า ผลพวงจากสภาพเศรษฐกิจตกต่ำและภาคอสังหาริมทรัพย์ซบเซา จะส่งผลให้ลักษณะการก่อสร้างอาคารบ้านเรือนในช่วง 2-3 ปีจากนี้ลดการออกแบบหวือหวาลงไปเพื่อประหยัดต้นทุน โดยหันไปเน้นรูปแบบเรียบง่ายและประโยชน์ใช้สอยเป็นหลัก

ด้วยเหตุนี้นิตยสารเทคโนโลยี เครื่องยนต์กลไกเล่มดัง "พ็อพพิว ลาร์เมคานิก" จึงตระเวนสรรหาตึกแปลกประหลาดพิสดาร ท้าทายความคิดสร้างสรรค์ด้านสถาปัตยกรรมและแรงโน้มจากทั่วโลกมาให้ได้ยลโฉม กันบางส่วนดังนี้

(1.) 30 St. Mary Axe (30 เซนต์ แมรี่ แอ็กซ์)

ตึกระฟ้าเจ้าของสถิติอาคารสูงอันดับ 2 ในมหานครลอนดอน ประเทศอังกฤษ เปิดทำการปี 2547 มีชื่อเล่นว่า "ตึกแตง" เพราะรูปทรงคล้ายแตง กลมมนทั้งตึก โครงสร้างเต็มไปด้วยกระจก เฉพาะภายนอกติดตั้งกระจกกินพื้นที่ 24,000 ตารางเมตร


(2.) The Egg (ดิ เอ้ก)

อาคารทรงไข่ผ่าครึ่ง ที่ตั้งศูนย์ศิลปะการแสดงเมืองอัลเบนี่ รัฐนิวยอร์ก สหรัฐอเมริกา มีโรงละครอยู่ภายใน 2 โรง ความจุรวม 892 ที่นั่ง ยากที่ใครจะเลียนแบบ เพราะมีโครงสร้างรับน้ำหนักซับซ้อนมาก

ตึกประหลาด

(3.) Flintstone House (ฟลินต์สโตน เฮาส์)
บ้าน จัดสรรในเมืองเบอร์ลินเกม รัฐแคลิ ฟอร์เนีย สหรัฐอเมริกา สร้างเลียนแบบบ้านในการ์ตูนยอดฮิตในอดีต "มนุษย์หินฟลินต์สโตน" ออกแบบโดย วิลเลียม นิโคลสัน เมื่อเกือบ 40 ปีก่อน

(4.) The Crooked House (เดอะคร้กเก็ดเฮาส์)
อาคาร พาณิชย์ตั้งอยู่ในย่านธุรกิจเมืองโซพอต ประเทศโปแลนด์ มองดูมีสัดส่วนบิดเบี้ยวสุดๆ ได้รับแรงบันดาลใจจากภาพบ้านเรือนในหนังสือนิทานภาพสำหรับเด็ก ตรงหลังคาออกแบบตั้งใจให้เหมือนเกล็ดมังกร

(5.) Basket Building (บาสเก็ตบิลดิ้ง)
สำนัก งานใหญ่บริษัทลองกาเบอร์เกอร์ เมืองนิวอาร์ก สหรัฐอเมริกา ประกอบกิจการขายตะกร้า ซึ่งก็คือที่มาของอารมณ์นึกสนุกสร้างตึกเป็นทรงตะกร้านั่นเอง

(6.) Guggenheim Museum (กุกเกนไฮม์ มิวเซียม)
พิพิธภัณฑ์ กุกเกนไฮม์ เมืองบิลเบา ประเทศสเปน รังสรรค์โดย แฟรงก์ เกห์รี สถาปนิกชื่อดังระดับโลกชาวแคนาดา ออกแบบให้ดูสับสนวุ่นวาย มองแล้วเดาไม่ออกว่าเส้นสายโครงสร้างจะไปจบตรงไหน

(7.) Dancing House (แดนซิ่งเฮาส์)
"บ้าน เต้นระบำ" กรุงปราก สาธารณรัฐเช็ก ผลงาน แฟรงก์ เกห์รี สถาปนิกแคนาดา และวลาโด มิลยูนิช เพื่อนสถาป นิก มีชื่อเล่น "จิงเจอร์แอนด์เฟร็ด" ตามที่มีการออกแบบได้แนวคิดจากท่าเต้นพลิ้วไหวคู่กันของ จิงเจอร์ โรเจอร์ส และเฟร็ด แอสแตร์ สองนักเต้นชื่อดัง

(8.) Lotus Temple (โลตัสเทมเปิ้ล)
"วัดดอกบัว" หรือ "โลตัสเทมเปิ้ล" ในกรุง นิวเดลี อินเดีย หนึ่งในศาสนสถานที่มีผู้คนมาเยี่ยมเยือนมากที่สุดในอินเดีย

(9.) Cube House (คิวบ์เฮาส์)
บ้านทรงลูกบาศก์เชื่อมต่อกัน 38 หลังในนครร็อตเทอร์ดัม เน เธอร์แลนด์ เกิดจากแนวคิดเวลามองหมู่แมกไม้ที่ตั้งตระหง่านอยู่ร่วมกัน

(10.) Library of Alexandria (ไลบรารี่ ออฟ อเล็กซานเดรีย)
ห้อง สมุดเมือง อเล็กซานเดรีย อียิปต์ มีความสูง 11 ชั้น ลักษณะอาคารสื่อถึงภาพดวงอาทิตย์ยามรุ่งอรุณ เปรียบได้กับการเข้ามาแสวงหาเพิ่มพูนปัญญา ณ สถานที่แห่งนี้

wonderful!! lololololololololo