จังหวะการกระพริบตาของบิลล์ คลินตัน อดีตผู้นำสหรัฐฯ ในขณะนั้นอาจทรยศว่าเจ้าตัวกำลังปิดบังความสัมพันธ์อื้อฉาวกับโมนิกา ลูวินสกี้
เดิลเมล์ - นักวิจัยแนะถ้าอยากรู้ว่าคนตรงหน้าพูดจริงหรือโกหก ให้มองตาคนๆ นั้นให้ดี เพราะระหว่างและหลังจากที่ปั้นเรื่อง จังหวะการกระพริบตาของคนเรามักไม่เหมือนเดิม ดร.ชารอน ลีล จากมหาวิทยาลัยพอร์ตสมัท อังกฤษ ผู้ร่วมจัดทำรายงานฉบับนี้ แจงว่า ระหว่างเล่าความเท็จ คนๆ นั้นจะกระพริบตาน้อยกว่าปกติ แต่หลังจากนั้นจะกระพริบตาถี่ขึ้น 8 เท่า “ที่ผ่านมาความแตกต่างด้านพฤติกรรมระหว่างคนพูดจริงกับคนพูดโกหกไม่ค่อยมีใครให้ความสำคัญมากนักในการวิจัยเกี่ยวกับการตบตา” นักจิตวิทยาพูดถึงการค้นพบนี้ที่รายงานอยู่ในเจอร์นัล ออฟ นอน-เวอร์บัล บีแฮฟวิเออร์ว่า เจ้าหน้าที่สอบสวนสามารถนำอัตราการกระพริบตาไปใช้ในการจับเท็จได้ ในการศึกษา อาสาสมัครกลุ่มหนึ่งถูกขอให้ทำกิจกรรมประจำวันตามปกตินานสิบนาที ขณะที่อีกกลุ่มได้โจทย์ให้ขโมยข้อสอบจากออฟฟิศ และปฏิเสธว่าไม่ได้ทำ หลังจากนั้น นักทดลองซึ่งไม่รู้ว่าอาสาสมัครกลุ่มไหนพูดจริงกลุ่มไหนโกหก จะขอให้อาสาสมัครแต่ละคนเล่าสิ่งที่ทำไป โดยระหว่างนั้นจะมีการใช้อุปกรณ์ตรวจจับความเคลื่อนไหวของดวงตาของอาสาสมัคร ผลปรากฏว่า เมื่อมีการถามตอบ อัตราการกระพริบตาของกลุ่มที่โกหกจะลดลง ขณะที่ของกลุ่มที่พูดความจริงเพิ่มขึ้น ซึ่งอาจเป็นเพราะความกังวลในการทดสอบ หลังจากการถามตอบจบลง อัตราการกระพริบตาของคนโกหกจะเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ขณะที่อีกกลุ่มคงเดิม นักวิจัย อธิบายว่า การใช้สมาธิเพื่อสร้างเรื่องเท็จอาจเป็นเหตุผลที่ทำให้กลุ่มที่โกหกไม่กระพริบตาระหว่างที่ปั้นเรื่อง “คนโกหกต้องพยายามกุเรื่อง และต้องจดจ่อกับเรื่องที่แต่งขึ้นเพื่อให้เรื่องนั้นดูน่าเชื่อถือ แถมยังต้องพยายามจำเรื่องที่โกหกให้ได้ตั้งแต่ประโยคแรกๆ เพื่อที่ว่าเมื่อเล่าใหม่เรื่องราวจะเหมือนเดิม รวมทั้งต้องจำให้ได้ด้วยว่าเล่าให้ใครฟังบ้าง “คนโกหกมีแนวโน้มมากกว่าคนพูดจริงที่จะพยายามควบคุมพฤติกรรมของตนเองเพื่อให้ดูน่าไว้ใจ “ส่วนเหตุผลที่อัตราการกระพริบตาถี่ขึ้นหลังการโกหกนั้นยังไม่เป็นที่ชัดเจน อาจเป็นเพราะการกระพริบตาบ่งบอกถึงความรู้สึกปลอดภัย เหมือนการปลดปล่อยพลังงานหลังจากความเครียดในการโกหก”
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น