| |||
โรเบิร์ต อิริกสัน และเจนนี ทอร์แซนเดอร์ นักวิจัยจากสถาบันเพื่อการวิจัยทางสังคมของสวีเดนในสต็อกโฮล์ม พบว่าระดับการศึกษาของภรรยามีอิทธิพลต่อความเสี่ยงในการเสียชีวิตของสามีใน ช่วงทศวรรษถัดไปมากกว่าระดับการศึกษาของผู้ชายเอง
“ปกติแล้วผู้หญิงจะเป็นคนรับผิดชอบเรื่องในบ้าน ดังนั้นการศึกษาของผู้หญิงจึงมีความสำคัญต่อรูปแบบการใช้ชีวิตในครอบครัว เช่น ในแง่ของพฤติกรรมการกิน มากกว่าระดับการศึกษาของผู้ชาย
“เราคิดว่าผู้หญิงที่มีการศึกษาสูงจะมีความรับผิดชอบสูงขึ้นในการหาข้อมูล เพื่อส่งเสริมสุขภาพซึ่งมีอยู่มากมายในสื่อ ข้อมูลบางอย่างก็สำคัญแต่บางอย่างก็เป็นแค่เรื่องเข้าใจผิด”
อิริกสันเสริมว่า เป็นที่รู้กันอยู่แล้วว่าการใช้ชีวิตคู่ช่วยลดความเสี่ยงในการเสียชีวิตก่อน วัย และผลการศึกษาล่าสุดขยายผลว่า การเลือกคู่ชีวิตอาจเป็นส่วนสำคัญของสมการนี้ เนื่องจากสถานะทางสังคมของคู่ครองส่งผลในหลายมิติ กล่าวคือการศึกษา รายได้ และอาชีพล้วนมีอิทธิพลไปกันคนละอย่าง
การศึกษาชิ้นนี้ที่ตีพิมพ์ในเจอร์นัล ออฟ เอพิเดมิโอโลจี้ แอนด์ คอมมิวนิตี้ เฮลท์ วิเคราะห์จากข้อมูลสำมะโนประชากรปี 1990 ครอบคลุมชาย-หญิงมีงานทำกว่า 1.5 ล้านคน อายุระหว่าง 30-59 ปี ที่อยู่กินกับคู่ครอง รวมถึงข้อมูลการเสียชีวิตระหว่างปี 1991-2003
สิ่งที่เป็นไปตามคาดดือ อัตราการเสียชีวิตของทั้งชาย-หญิงสูงขึ้นในกลุ่มผู้มีการศึกษาต่ำและผู้มี รายได้น้อย ขณะที่สถานะทางสังคมและอาชีพการงานระดับล่างเชื่อมโยงกับความเสี่ยงเสีย ชีวิตที่เพิ่มขึ้นเช่นเดียวกัน โดยผู้ชายที่เรียนจบแค่ชั้นประถมมีแนวโน้มเสียชีวิตระหว่างระยะติดตามผลสูง กว่าผู้ชายที่จบมหาวิทยาลัย 1.1 เท่า
ทว่า ระดับการศึกษาของคู่ครองมีอิทธิพลมากกว่าระดับการศึกษาของตัวผู้ชายเอง กล่าวคือผู้ชายที่อยู่กินกับผู้หญิงที่เรียนจบชั้นประถมมีแนวโน้มเสียชีวิต มากกว่าผู้ชายที่อยู่กินกับผู้หญิงที่เรียนจบปริญญาถึง 1.25 เท่า
ขณะเดียวกัน แม้ระดับชั้นด้านการงานของผู้หญิงมีผลต่อความเสี่ยงเสียชีวิตของตนเองน้อย มาก แต่ผู้หญิงที่แต่งงานกับแรงงานระดับล่างที่ไม่มีฝีมือมีความเสี่ยงเสียชีวิต มากกว่าผู้หญิงที่แต่งงานกับผู้ชายที่ทำงานนั่งโต๊ะ 1.25 เท่า




รู้สึก แปลกใจและทึ่งเหมือนผมไหมครับ... เวลาเราพูดถึงประเทศมหัศจรรย์ประเทศหนึ่งซึ่งเป็นประเทศที่แพ้สงครามโลก ครั้งที่ 2 อย่างยับเยิน โดนระเบิดปรมาณูถึง 2 ลูก บ้านเมืองและเศรษฐกิจพังพินาศ แต่ปัจจุบันประเทศนี้กลายเป็นประเทศพัฒนาแล้ว และเป็นมหาอำนาจทางเศรษฐกิจที่มีรายได้ประชาชาติ (GDP) สูงเป็นอันดับ 2 ของโลก เป็นรองแต่เพียงประเทศสหรัฐอเมริกาเท่านั้น ทราบแล้วใช่ไหมครับว่าประเทศนั้นคือประเทศญี่ปุ่นนั่นเอง ผมเคยสนใจเก็บข้อมูลเรื่องนี้มานานแล้วครับว่าคนญี่ปุ่นนั้นเขาเลี้ยงลูก อย่างไร หรือเขามีลักษณะพิเศษต่างจากชนชาติอื่นอย่างไร ทำไมใช้เวลาเพียง 20-30 ปี ฟื้นฟูและพัฒนาประเทศได้รวดเร็วขนาดนี้ ทุกวันนี้เราก็ขับรถญี่ปุ่น เครึ่องใช้ไฟฟ้า อุปกรณ์อีเลคทรอนิค คอมพิวเตอร์มือถือ กล้องดิจิตอลก็ของญี่ปุ่น ร้านอาหารญี่ปุ่นก็ขายดี ร้านขนมญี่ปุ่นก็ขายดี เด็กๆ ของเราก็ติดภาพยนตร์หรือการ์ตูนญี่ปุ่นกันงอมแงม ญี่ปุ่นมีอะไรดีเกี่ยวข้องกับเชื้อชาติ วัฒนธรรม ความเชื่อ การเลี้ยงดู และระเบียบวินัยหรือไม่ เป็นเรื่องที่น่าสนใจ เหตุผลที่ผมต้องมานำเรื่องนี้มาพูดคุยก็เพราะมีแรงจูงใจครับ คือเมื่อไม่นานมานี้ผมได้มีโอกาสดูแลเด็กญี่ปุ่นคนหนึ่งที่โรงพยาบาลเอกชน เด็กคนนี้เป็นออทิสติกครับ ค่อนข้างซนอยู่ไม่นิ่ง เขาเดินเข้าไปที่อ่างน้ำล้างมือของห้องตรวจโรค ปิดฝาระบายน้ำแล้วเปิดน้ำเล่นจนเกือบล้น พอดีคุณแม่ชาวญี่ปุ่นเหลือบไปเห็นเข้า เธอมีท่าทีตกใจและเกรงใจผมมากรีบพูดขอโทษ \"sorry ...sorry ..sorry" (นึกภาพท่าทาง เวลาเราเห็นคนญี่ปุ่นขอโทษในโทรทัศน์ประกอบไปด้วย) ลักษณะที่แสดงออกบ่งบอกความเกรงใจเดือดร้อนเป็นอย่างยิ่งเกินกว่าชนชาติ (ดูเหมือนโอเวอร์ก็ว่าได้) แต่เขาไม่ได้แกล้งทำครับ เพราะตรงกับที่พยาบาลและเจ้าหน้าที่ที่โรงพยาบาลบอกเล่าว่าคนไข้ชาวญี่ปุ่น ส่วนใหญ่น่ารักคือจะมีระเบียบวินัยดีมาก เวลานัดหมายก็มักมาตรงเวลา ถ้าจะผิดนัดหรือติดธุระก็จะโทรศัพท์มาเลื่อนล่วงหน้าพร้อมกับขอโทษ (ปกติเจ้าหน้าที่ต้องเป็นฝ่ายโทรศัพท์ไปตาม)
ลักษณะพิเศษของครอบครัวญี่ปุ่น

การที่ทำผมบ่อย ๆ นั้นเป็นการทำร้ายผมโดยตรง ซึ่ง บางครั้งสารเคมีเหล่านี้จะสะสมในร่างกายและอาจเกิดรุมเร้าตามมาที่หลัง แม้กระทั่งการที่มัดหรือผูกผมก็เช่นกัน ผมที่ถูกมัดจนตึง มักจะทำให้เรารู้สึกมึนหัว อึดอัด ปวดตึงบริเวณต้นคอและท้ายทอยเป็นประจำ นี่คือสิ่งที่บ่งบอกถึงความเครียดภายใต้หนังศีรษะนั่นเอง โดยที่ไม่รู้ว่ากำลังทำร้ายตัวเองอยู่



มาลองดูนะ!
ยามกลางวันมันก็เป็นสนามหญ้าหน้าโรงเรียนกว้างๆสำหรับเข้าแถวเคารพธงชาติ แต่ตกดึกประมาณเที่ยงคืนมักจะมีคนพบเหล่ากองทัพซามูไรกำลังพุ่งรบกันอยู่ อย่างน่ากลัว บ้างหัวขาดแขนขาดเนื้อตัวเต็มไปด้วนเลือด แต่ก็ไม่รู้วันแพ้ชนะกันสักที ว่ากันว่าที่นี่สมัยก่อนเป็นสนามรบเก่าซึ่งยังไม่มีการสวดส่งวิญญาณ...
มักมีเรื่องทำนองนี้เล่าอยู่บ่อยๆว่า ถ้าไปเข้าห้องน้ำที่อาคารเรียนเก่าหลังโรงเรียนตอน 5 โมงเย็นเป็นต้นไป มักจะได้ยินเสียงเด็กผู้หญิงร้องไห้ทรมานว่า เปิดไม่ออก เปิดไม่ออก... ดังมาจากห้องน้ำสุดท้านทางขวามือ และถ้าผู้ใดบังเอิญสงสัยไปเปิดประตูให้ก็จะพบกับฮานาโกะจังสมใจหมาย!!!
เรื่องนี้คล้ายๆกับฮานาโกะที่เล่ามาแต่น่ากลัวกว่ามาก ว่ากันว่าถ้าใครไปเข้าห้องน้ำหญิงที่อาคารเรียนเก่าชั้นบนสุด จะเห็นรอยคราบที่ดูคล้ายใบหน้าคนอญุ่ในโถส้วมห้องน้ำที่ 2 แม้ภารโรงจะลบทำความสะอาดไปกี่ครั้งแต่มันก็กลับเปลื้อนขึ้นมาใหม่อย่างหา สาเหตุไม่ได้ ว่ากันว่าถ้าไปร้องเรียกตามลำพังว่า ยามิโกะซังตื่นเถิด ยามิโกะซังตื่นเถิด... ทันใดจะมีเสียงเคาะประตูห้องน้ำทุกห้องดังพร้อมกัน ปัง ปัง ปัง ปัง !!!! และจะมีมือโผล่ออกมาจากโถส้วมลากเอาตัวลงไปในนั้น
ถ้ามีใครย่างกรายเข้าไปที่อาคารร้างเก่า และก่อนที่จะถึงดาดฟ้าชั้นบนสุด มักจะมีเรื่องเล่าอยู่เสมอว่า บันไดนั้นมี 12 ขั้น แต่ตกดึกทุกๆคืนมันจะกลับกลับเป็น 13 ขั้นอย่างน่าพิศวง และถ้ามีใครไปเหยียบขั้นที่ 13 ที่ว่าก็จะถูกผีเอาตัวไป....(ว่ากันว่าเลข 13 เป็นเลขอัปมงคลที่มักจะถูกเกลียด)
ที่ หน้าโรงเรียนมีรูปปั้นหินรูปคนสมัยก่อนซึ่งแบกฟืนไว้ข้างหลังและกำลังก้ม หน้าก้มตาอ่านหนังสืออยู่ รูปปั้นที่ว่าชื่อมิโนมิยะคินจิโร่ ซึ่งเป็นตำนานโด่งดังสมัยก่อน แต่พอตกดึกรูปปั้นนี้จะขยับเองได้ และออกมาวิ่งไปตามสนามโรงเรียนยามค่ำคืนทุกๆวัน
